แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Eat For Health แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Eat For Health แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง Nutritional Value of Honey by LASIK HEALTHY EYES

ขอบคุณภาพประกอบจาก hdwallpapers.org
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง
Nutritional Value of Honey.

น้ำผึ้ง (Honey) คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) แล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้น น้ำผึ้ง จะค่อย ๆ บ่มตัวเองจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษา ผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียก น้ำผึ้ง นี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนผสมของน้ำตาบกลูโคสและฟรุกโตส ไม่มีการแยกสี ไม่แยกชั้น ไม่เกิดตะกอนและน้ำผึ้งที่ดีจะต้องมาจากกระบวนการผลิตจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ดีและได้มาตรฐานอีกด้วย

น้ำผึ้ง (Honey) เป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูง ทั้งนี้เนื่องจาก น้ำผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลย่อยง่ายถึง 70% เช่น น้ำตาลฟลุกโตส กลูโคส มอลโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์และปราศจากเชื้ัอโรค เพราะจุลินทรีย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ใน น้ำผึ้ง ได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน แร่ธาตุ กรด และส่วนประกอบอื่น ๆ

น้ำผึ้ง (Honey) ได้ความหวานจากมอโนแซ็กคาไรด์ ฟรุกโทสและกลูโคส และมีความหวานประมาณเทียบได้กับน้ำตาลเม็ด น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางเคมีที่ดึงดูดในการอบ และมีรสชาติพิเศษซึ่งทำให้บางคนชอบน้ำผึ้งมากกว่าน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่น ๆ  จุลินทรีย์ส่วนมากไม่เจริญเติบโตในน้ำผึ้งเพราะมีค่าแอกติวิตีของน้ำต่ำที่ 0.6

น้ำผึ้ง (Honey) ยังมีสารประกอบหลายชนิดในปริมาณน้อยซึ่งคาดกันว่าทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงไครซิน พิโนแบค์ซิน วิตามินซี คาตาเลสและพิโนเซมบริน

องค์ประกอบที่เจาะจงของน้ำผึ้งแต่ละกลุ่มนั้นขึ้นอยู่กับดอกไม้ที่ผึ้งใช้ผลิตน้ำผึ้ง

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 ก. (3.5 ออนซ์)
- พลังงาน 300 kcal   1270 kJ
- คาร์โบไฮเดรต     82.4 g
- น้ำตาล  82.12 g
- เส้นใย  0.2 g
- ไขมัน 0 g
- โปรตีน 0.3 g
- น้ำ 17.10 g
- วิตามินบี2  0.038 mg   3%
- ไนอะซิน  0.121 mg   1%
- วิตามินบี5  0.068 mg 1%
- วิตามินบี6  0.024 mg 2%
- กรดโฟลิก (B9)  2 μg 1%
- วิตามินซี  0.5 mg 1%
- แคลเซียม  6 mg 1%
- ธาตุเหล็ก  0.42 mg 3%
- แมกนีเซียม  2 mg 1%
- ฟอสฟอรัส  4 mg 1%
- โพแทสเซียม  52 mg   1%
- โซเดียม  4 mg 0%
- ธาตุสังกะสี  0.22 mg 2%
Shown is for 100 g, roughly 5 tbsp.
100 กรัม ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ ร้อยละของปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน
สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำในสหรัฐอเมริกา
แหล่งที่มา: USDA Nutrient database

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง (Honey) มีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรุกโทสกับกลูโคส และมีวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุทองแดง ธาตุสังกะสี เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่นๆที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก

ประโยชน์จากน้ำผึ้งต่อสุขภาพ

- ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น
- ช่วยให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ทำงานหนัก หรือการอดนอน เป็นต้น
- ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แก่ผู้ป่วยระยะพักฟื้น และผู้สูงอายุ
- ช่วยบำรุงประสาทและสมองให้สดชื่นแจ่มใส
- ช่วยระงับประสาท อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ
- ช่วยบรรเทาอาการไอ และหวัด
- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร และช่วยย่อยอาหาร
- แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากใน น้ำผึ้ง มีธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบิน จึงมีส่วนช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง
- ช่วยแก้ความดันโลหิตสูง
- ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
- ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ
- ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง
- น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ
- ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงต้านทานโรคต่างๆได้ดี
- ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
- ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
- ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน
- ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์ เป็นต้น

TIP

วิธีเลือกน้ำผึ้งแท้

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่าง ๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้

1. ต้องมีความข้นและหนืดพอสมควร แสดงให้เห็นว่าใน น้ำผึ้ง มีน้ำเป็นส่วนประกอบน้อย เป็น น้ำผึ้ง ที่มีคุณภาพสูง
2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล ใส และไม่ขุ่นทึบ
3. กลิ่นของ น้ำผึ้ง หอมตามชนิดของดอกไม้นั้น ๆ เช่น น้ำผึ้ง จากดอกลำไย น้ำผึ้ง จากดอกลิ้นจี่ เป็นต้น
4. น้ำผึ้ง ที่ดีต้องปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้ง รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่าง ๆ ปะปน
5. ต้องไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว และไม่มีฟอง
6. ต้องไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รส
7. ทอลองโดยการหยด น้ำผึ้ง ใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึม
8. ทดสอบโดยการหยด น้ำผึ้ง ลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลาย ถ้าหากเป็น น้ำผึ้ง แท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที

น้ำผึ้งเก็บอย่างไรให้ถูกต้อง

1. เก็บในภาชนะบรรจุอาหารที่สะอาด
2. เก็บในอุณหภูมิห้องและไม่ให้แสงแดดส่องถึง
3. น้ำผึ้งที่เก็บมาจากรังใหม่ ๆ มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าน้ำผึ้งเก่าหรือน้ำผึ้งที่เก็บไว้เป็นเวลานาน ๆ

การเก็บน้ำผึ้งไว้นานเกินไป จะทำให้น้ำผึ้งมีสีเข้มจนออกเป็นสีดำ ยิ่งถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีอากาศร้อนด้วยแล้วจะยิ่งมีสีดำเร็วขึ้น เพราะมีสาร HMF สูง สารเอชเอ็มเอฟ คือ ชื่อย่อของสารเคมีที่มีชื่อว่า (hydroxy methylfur furaldehyde) ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จนเกิดปฏิกิริยาเคมีของการย่อยสลาย น้ำตาลฟรุกโตส ในน้ำผึ้ง ความร้อนและแสงแดดจะเป็นตัวเร่งให้ปฏิกิริยานี้ให้เกิดเร็วขึ้น

ดังนั้นจึงควรเก็บน้ำผึ้งไว้ในที่มืดและเย็น แต่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น อย่างไรก็ตาม สารเอชเอ็มเอฟในน้ำผึ้งนี้จะมีปริมาณน้อยมาก ไม่ค่อยมีอันตรายต่อผู้บริโภคหากจะบริโภคน้ำผึ้งสีเข้มจนเกือบดำ

โดยทั่วไปน้ำผึ้งจะเก็บได้นานประมาณ 1-2 ปี หากเก็บไว้นานกว่านี้ สี กลิ่น รส ก็จะเปลี่ยนไปที่เห็นชัดคือน้ำผึ้งจะมีสีน้ำตาลเข้มจนดำ

ข้อควรระวังในการใช้น้ำผึ้ง

แม้น้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคน บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ ไม่ควรดื่มน้ำผึ้ง

1. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน แต่หากอยู่ในระดับที่ยังสามารถกินอาหารรสหวานได้บ้างเล็กน้อย การใช้ น้ำผึ้ง ใส่ในอาหารและเครื่องดื่มก็เป็นการดีกว่าการใช้น้ำตาล
2. คนที่มักมีอาการอาหารไม่ย่อย และอาเจียนบ่อยๆ
3. ไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบดื่มน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมี สปอร์ของเชื้อคลอสตริเดียมโบทูลินัม ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อนี้จะเจริญเติบโตได้ ในทางเดินอาหารของเด็กเล็ก ทำให้เกิดสารพิษที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ กรณีดังกล่าวนี้แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ระมัดระวังป้องกันไว้ก่อนย่อมปลอดภัยกว่า
4. ผู้ป่วยบางรายที่ไม่แนะนำให้กิน น้ำผึ้ง แบบเข้มข้นโดยที่ไม่ผสมอะไรเลย เช่น ผู้ที่มีอาการดีพิการ (มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง) ผู้ที่มีเสมหะพิการ (มีเสมหะมาก และมีภาวะโรคปอดแทรก) และผู้ที่มีน้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง ต่าง ๆ
5. บางครั้งน้ำผึ้งอาจจะได้มาจากน้ำหวานของเกสรดอกไม้ที่เป็นพิษ เช่น น้ำหวานจากดอกของต้นตาตุ่มทะเล ซึ่งเป็นไม้ชายเลนที่มีพิษ เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ท้องเดิน

ดังนั้นก่อนซื้อน้ำผึ้งที่หาบเร่ขาย หรือขายอยู่ริมทาง ควรสอบถามถึงที่มาของน้ำผึ้งให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อมูลเพิ่มเติม :-

Balance the 5 elements : 

Honey has been used in ayurvedic medicine in India for at least 4000 years and is considered to affect all three of the body’s primitive material imbalances positively. It is also said to be useful useful in improving eyesight, weight loss, curing impotence and premature ejaculation, urinary tract disorders, bronchial asthma, diarrhea, and nausea.
Thanks English Info From : Real Food For Life
http://goo.gl/98GYZh

Nutritional facts of honey : 

Honey is a combination of sugars and some other compounds. Mainly it contains fructose, glucose, maltose, carbohydrates and a small amount of vitamins, minerals and amino acids. Vitamins such as Thiamin, Niacin, Pyridoxine (B6) and minerals like Calcium, Copper, Iron, Magnesium, Manganese, Phosphorus, etc believed to work as antioxidants. The precise composition of honey depends on the type of flowers bees use for honey manufacturing.

For good eye sight :

2 teaspoons of honey should be mixed with carrot juice and consumed on a regular basis. It is especially beneficial for persons who spend long hours before the computer.
Thanks Info From : Read And Digest
http://goo.gl/9EToRa

ข้อมูลอ้างอิง

น้ำผึ้ง : จากวิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
http://www.doctor.or.th/article/detail/1646
7 Amazing Benefits And Uses Of Honey : StyleCraze
http://www.stylecraze.com/articles/7-benefits-and-uses-of-honey/
Honey: Nutritioinal Facts & Health Benefits
http://readanddigest.com/health-benefits-of-honey/
For Your Eyes Only…: Read And Digest
http://readanddigest.com/how-to-take-care-of-your-eyes/
หลากประโยชน์ที่เราอาจมองข้าม จากน้ำผึ้ง : Pooyingnaka.com
http://www.pooyingnaka.com/content/content.php?No=3664
น้ำผึ้ง - ผึ้งบำบัด - Google Sites
https://sites.google.com/site/powerofbee/apitherapy-products/honey
กว่าจะเป็นน้ำผึ้ง : กรมส่งเสริมการเกษตร
http://www.aopdb03.doae.go.th/KM/best%20bee.htm
10 Health Benefits of Honey : Real Food For Life
http://realfoodforlife.com/health-benefits-of-honey/
คุณค่าของน้ำผึ้ง : Regional Information Service Centre for South East Asia on Appropriate Technology (RISE-AT)
http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/nl/2003/02/07.php

"HkVogue Thailand" http://buff.ly/1GR2YNk
Contact : Willy Tel. 093 649 2288
email : hkvoguethailand@gmail.com

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของกะหล่ำปลีต่อสุขภาพ The Health Benefits of Cabbage by LASIK HEALTHY EYES

ขอบคุณภาพประกอบจาก wordenfarm.com
ประโยชน์ของกะหล่ำปลีต่อสุขภาพ
The Health Benefits of Cabbage.

กะหล่ำปลี หรือ กะหล่ำใบ หรือ กะหล่ำปลีเขียว (Cabbage) เป็นชื่อไม้ล้มลุก ภาษาอังกฤษ "Cabbage " มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea L. var. capitata ในวงศ์ Cruciferae มีสัณฐานกลม ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกันกะหล่ำปลีจะมีสีเขียว แต่สีอื่นๆก็มีเช่นกัน เช่น ขาว ม่วง และสีแดง โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเมดิเตอเรเนียน และภายหลังได้แพร่กระจายทั่วไป

กะหล่ำปลีแบ่งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ออกเป็น 3 ชนิด คือ

กะหล่ำปลีมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea var. capitata Linn. อยู่ในตระกูล Cruciferae เป็นพืช 2 ฤดู แต่มักปลูกเป็นพืชฤดูเดียว มีขนาดรูปร่างและสีของใบแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์ รวมทั้งขนาด รูปร่าง สี และความแน่นของหัวก็จะแตกต่างกันด้วยพันธุ์ พันธุ์ของกะหล่ำปลีสามารถแยกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. กะหล่ำปลีธรรมดา (Green Cabbage)  มีความสำคัญและปลูกมากที่สุดในแง่ผักบริโภค มีลักษณะหัวหลายแบบ ตั้งแต่หัวกลม หัวแหลมเป็นรูปหัวใจ จนถึงกลมแบนราบ มีสีเขียวจนถึงเขียวอ่อน เป็นพันธุ์ที่ทนร้อน อายุการเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 50-60 วัน พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ลูกผสมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ผสมเปิดอื่น ๆ อีกเช่น พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต พันธุ์โกเดนเอเลอร์เป็นต้น

2. กะหล่ำปลีแดง (Red Cabbage) มีลักษณะหัวค่อนข้างกลม ใบสีแดงทับทิมส่วนใหญ่มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน ต้องการอากาศหนาวเย็นพอสมควรเมื่อนำไปต้มน้ำจะมีสีแดงคล้ำพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์รูบี้บอล รูบี้เพอเฟคชั่น

3. กะหล่ำปลีใบย่น (Savoy Cabbage) มีลักษณะผิวใบหยิกย่นและเป็นคลื่นมากต้องการอากาศหนาวเย็นในการปลูกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกะหล่ำปลีสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบดินโปร่ง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตประมาณ 22-25 องศาเซลเซียส มีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) อยู่ในช่วง 6-6.5 ความชื้นในดินสูงพอสมควรและได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน

สารอาหาร

ในกะหล่ำปลี มีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน สามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารและมีสารกอยโตรเจนที่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก นอกจากนั้นยังพบว่ามีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้  มีการวิจัยพบกะหล่ำปลีใช้ประคบเต้านมลดปวดแก้นมคัดแม่หลังคลอด

-  กะหล่ำปลีนี้มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ มีทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี 2  วิตามินซี วิตามินอี โฟเลต เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก  โพแทสเซียม และแมกนีเซียม

-  อุดมไปด้วยวิตามินซี จากการศึกษาพบว่ากะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูงมาก ในกะหล่ำปลีฝอย 1 ถ้วยมีวิตามินซีถึง 18 มิลลิกรัม  ซึ่งเป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับวิตามินซีในส้มเขียวหวาน 1 ผลเลยทีเดียว

-  สรรพคุณทางยา กะหล่ำปลียังช่วยบรรเทา โรคกระเพาะอาหารอักเสบ  นักวิจัยศึกษาพบว่า  สารกลูทามีนในกะหล่ำปลีช่วยเคลือบกระเพาะอาหารได้  อีกทั้งยังมีสารซัลเฟอร์  ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่  ทำให้การขับถ่ายดี ไม่เพียงเท่านั้น สารซัลเฟอร์นี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเทอรอล ระงับประสาท และทำให้นอนหลับได้ง่ายอีกด้วย

กะหล่ำปลีดิบ มีวิตามิซีสูงการนำไปปรุงอาหารควรใช้วิธีการนึ่งจะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด หรือจะรับประทานเป็นผักสลัดได้ก็ ทั้งนี้ไม่ควรนำไปนึ่ง ต้ม ผัดนานจนเกินไป

คุณค่าทางโภชนาการของกะหล่ำปลีดิบต่อ 100 กรัม
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี
- พลังงาน 25 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม
- น้ำตาล 3.2 กรัม
- เส้นใย 2.5 กรัม
- ไขมัน 0.1 กรัม
- โปรตีน 1.28 กรัม
- วิตามินบี1 0.061 มิลลิกรัม 5%
- วิตามินบี2 0.040 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี3 0.234 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี5 0.212 มิลลิกรัม 4%
- วิตามินบี6 0.124 มิลลิกรัม 10%
- วิตามินบี9 43 ไมโครกรัม 11%
- กะหล่ำปลีวิตามินซี 36.6 มิลลิกรัม 44%
- ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุเหล็ก 40 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม 8%
- ธาตุฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโพแทสเซียม 170 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโซเดียม 18 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 2%
- ฟลูออไรด์ 1 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ประโยชน์ของกะหล่ำปลี

- กะหล่ําปลี มีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เพราะกะหล่ำปลีดิบอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างและบำรุงกระดูก
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
- กะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน ที่สามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้
- ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย หลับสนิท เพราะกะหล่ำปลีดิบมีสารซัลเฟอร์ซึ่งมีส่วนช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียด
- กะหล่ำปลี สรรพคุณทางยามีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ ฯลฯ

สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ ควรรับประทานผักกะหล่ำปลีด้วย เพราะอุดมไปด้วย Sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของ DNA และลดความเสียหายของ DNA ในร่างกาย

ประโยชน์ของกะหล่ำปลีใช้ประกอบอาหาร เช่น ผัดกะหล่ำปลีใส่ไข่, กะหล่ำปลีตุ๋นซี่โครงอ่อน, กะหล่ำปลีต้มยัดไส้หมู, กะหล่ำปลีม้วนใส่หมูบดปรุงรส, ถุงทองกกะหล่ำปลี, ต้มกะหล่ำปลีเจ, แกงส้ม, แกงจืด, ห่อหมก, รับประทานร่วมกับน้ำพริก, ทำเป็นสลัด ฯลฯ

ข้อควรระวัง

ผักกะหล่ำปลี จะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นตัวขัวขวางการดูดซึมของไอโอดีนผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้เป็นคอหอยพอกได้ แต่สารพิษที่ว่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีการนำไปต้ม

ดังนั้นจึงควรรับประทานกะหล่ำปลีที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า แม้ว่าวิตามินจะหายไปบ้างก็ตาม แต่ก็มีคำแนะนำว่าการเกิดปัญหาจากสารพิษชนิดนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีจนถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องเป็นการรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำและในปริมาณมาก

กะหล่ำปลีดิบควรรับประทานแต่พอเหมาะ เนื่องจากการรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ และที่สำคัญควรระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลงให้มาก เพราะกะหล่ำปลีนั้นติดอับดับ 1 ใน 5 ผักที่มีสารปนเปื้อนมากที่สุด การบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชักหรือหมดสติได้

TIP

ก่อนการนำมารับประทานก็ควรล้างให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีการลอกหรือปอกเปลือกออกแล้วแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-72 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสำหรับวิธีอื่นๆก็เช่น แช่น้ำปูนใส, การใช้ความร้อน, แช่น้ำด่างทับทิม, ล้างด้วยนำไหลจากก๊อก, แช่น้ำซาวข้าว, แช่น้ำสมสายชูหรือเกลือป่น, แช่น้ำยาล้างผัก เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม :-

Cabbage

Cabbage is versatile and a staple in many countries. Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are high in Vitamin C, Vitamin A and fiber. They’re also a great source of folacin, potassium and dietary fiber. Recent research by the American Institute for Cancer Research  indicates that eating cruciferous vegetables is associated with reducing certain types of cancer.

Green Cabbage

Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are known for their cancer-preventing nutrients and antioxidants. High in vitamin C, vitamin A and fiber.
Nutrition Information
Serving Size Per 150 g of cabbage
Energy 36 cal
Protein 2.3 g
Fat 0.3 g
Carbohydrates 6.0 g
Dietary Fibre 0.3 g
Sodium 27 mg
Potassium 335 mg
Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.

Red Cabbage

Red cabbage contains more vitamin A, vitamin C, and iron than green cabbage. Red cabbage contains an extra nutrient not found in green cabbage – anthocyanin – an antioxidant that produces the red colour, improves memory, and suppresses appetite.
Nutrition Information
Serving Size Per 150 g of cabbage
Energy 36 cal
Protein 2.3 g
Fat 0.3 g
Carbohydrates 6.0 g
Dietary Fibre 0.3 g
Sodium 27 mg
Potassium 335 mg
Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.

Savoy Cabbage

Savoy cabbage is low-cost, low-calorie, fat-free, and a good source of vitamin A, C, E, B6, B12, and K. Vitamin K helps the body form blood clots to stop bleeding. One cup of cabbage supplies half the vitamin K needed per day.
Nutrition Information
Serving Size Per 150 g of cabbage
Energy 36 cal
Protein 2.3 g
Fat 0.3 g
Carbohydrates 6.0 g
Dietary Fibre 0.3 g
Sodium 27 mg
Potassium 335 mg
Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.

Taiwanese Cabbage

Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are known for their cancer-preventing nutrients and antioxidants. High in vitamin C, vitamin A and fiber.
Nutrition Information
Serving Size Per 150 g of cabbage
Energy 36 cal
Protein 2.3 g
Fat 0.3 g
Carbohydrates 6.0 g
Dietary Fibre 0.3 g
Sodium 27 mg
Potassium 335 mg

Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.
Thanks English Info From : Cabbage : BCfresh
http://bcfreshvegetables.com/products-bcfresh/cabbage/

ข้อมูลอ้างอิง :

กะหล่ำปลี : จากวิกิพีเดีย
http://goo.gl/bPcbhD
กะหล่ำปลี สุดยอดผักวิตามินซี : THAI HEALTHY FOOD
http://goo.gl/B9o0es
Greenerald
http://goo.gl/9D7AAp
Cabbage : BCfresh
http://bcfreshvegetables.com/products-bcfresh/cabbage/
กะหล่ำปลี - เรื่องราวน่าสนใจ
http://202.28.48.140/isaninfo/?p=151
แหล่งข้อมูล : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)

"HkVogue Thailand" http://buff.ly/1GR2YNk
Contact : Willy Tel. 093 649 2288
email : hkvoguethailand@gmail.com

ข้อแนะนำ

ในแต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆกันทุกวัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและมีสุขภาพที่ดี

บทความที่ได้รับความนิยม