tag:blogger.com,1999:blog-16810704529968979142024-03-13T11:00:05.924+07:00LASIK HEALTHY EYESLASIK HEALTHY FOR YOUR LIFE SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comBlogger61125tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-73443098781701486652015-04-14T10:21:00.000+07:002015-04-14T10:21:35.710+07:00ประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่ง Health Benefits of Asparagus<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-asny-E9QKO8/UmDOx2vRYZI/AAAAAAAAD64/G-IyWG7Ebbs/s1600/2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-asny-E9QKO8/UmDOx2vRYZI/AAAAAAAAD64/G-IyWG7Ebbs/s400/2.jpg" height="400" width="400" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก relish.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่ง </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits of Asparagus</span></b></div>
<br />
<b>หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)</b> อุดมด้วยซัลเฟอร์ (Sulfur) ช่วยบำรุงสายตา และรักษาสายตาให้เป็นปกติ และมี<b>เบตา-แคโรทีน</b> (อังกฤษ: β-carotene) เป็นสารตั้งต้นของ วิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งนี้ โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระด้วย<br />
<br />
<b>ช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตา</b><br />
<br />
<b>เบตา-แคโรทีน</b> เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้าง<b>สารโรดอปซิน</b>ในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : วิตามินเอ/เบตา-แคโรทีน<br />
http://th.wikipedia.org/wiki/วิตามินเอ<br />
<br />
<b>หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)</b><br />
<br />
<b>“หน่อไม้ฝรั่ง” หรือ “แอสพารากัส” (Asparagus) </b>เป็นพืชพื้นเมืองแถบยุโรปและมีทั้งชนิดที่เป็น<b>หน่อสีเขียว</b> <b>หน่อสีขาว</b> และ<b>หน่อสีม่วง</b>เป็นผักที่ทานอร่อย กรุบกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำไปทำปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว หน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมาย ที่มีประโยชน์ของแอฟริกา แหล่งที่นิยมปลูกกันมากในประเทศไทยจะอยู่แถว ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี ชลบุรี และนนทบุรี<br />
<br />
<b>หน่อไม้ฝรั่งมี 3 ชนิดคือ หน่อขาว หน่อเขียว และหน่อสีม่วง</b><br />
<br />
<b><span style="color: #cccccc;">- หน่อขาว</span></b> จะเก็บหน่อที่โผล่พ้นดินขึ้นมาประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วคุ้ยดินโดยรอบหน่อออก ใช้มีดตัดตรงโคนหน่อ นิยมนำไปทำหน่อไม้ฝรั่งบรรจุกระป๋องหรือครีมซุป เป็นต้น<br />
<br />
<b><span style="color: #38761d;">- หน่อเขียว</span></b> ที่เรานิยมกินกันนั่นเอง จะเก็บเกี่ยวก็ต่อเมื่อหน่ออ่อนแทงพ้นดินมาประมาณ 15-22 เซนติเมตร<br />
<br />
- <b><span style="color: #351c75;">หน่อสีม่วง</span></b><br />
<br />
สิ่งที่อยู่เหนือความอร่อยของหน่อไม้ฝรั่งคือ หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของกลูตาไทโอน [glutathione] ซึ่งเป็นสารต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยสารนี้มีมากในผักใบเขียว หน่อไม้ฝรั่งและผลอโวคาโด<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : มูลนิธิหมอชาวบ้าน<br />
http://www.doctor.or.th/article/detail/5633<br />
<br />
<b>สารอาหารที่พบในหน่อไม้ฝรั่ง</b><br />
<br />
มีทั้ง โปรตีน แร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เซเลเนียม โฟลาซิน และกากใยมาก อุดมไปด้วยวิตามินหลากหลาย มีวิตามินซี วิตามินบี ทั้งบี 1 บี 2 บี 3 และบี 6 วิตามินเค วิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต มีสารกลูตาไธโอน มีปริมาณเกลือต่ำมาก และไม่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอล<br />
<br />
<b>คุณประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่ง</b><br />
<br />
ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน เหมาะที่จะกินหน่อไม้ฝรั่งเพราะมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรต แครอรี่ และไขมันต่ำ แล้วยังช่วยขับปัสสาวะ ลดกรดในลำไส้ ให้พละกำลัง และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : Food - Manager Online<br />
http://www.manager.co.th/travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000113791<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : Health Guidance<br />
http://www.healthguidance.org/entry/12238/1/Health-Benefits-of-Asparagus.html<br />
<br />
<b>Health Benefits of Asparagus</b><br />
<br />
It is also good for the eyes and it avoids you from being a victim of cataract, which is an eye problem seen in many people as they age. It is just because of the presence of glutathione and anti-oxidants.<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : SFGate<br />
http://healthyeating.sfgate.com/health-benefits-broccoli-spinach-asparagus-2361.html<br />
<br />
<b>Improved Vision</b><br />
<br />
Spinach is a leafy green vegetable that contains a substance called lutein. Lutein helps strengthen the eyes and reduces the risk of macular degeneration and cataracts, according to the North Dakota State University. Macular degeneration occurs when the center point of vision becomes compromised. Broccoli, spinach and asparagus also contain relatively high amounts of vitamin A, an antioxidant vitamin that also is beneficial for eyesight. Spinach contains more than 9,300 international units per 100-gram serving, which is well over 100 percent of the recommended daily intake. Create a vitamin A-packed side dish by sauteing broccoli, spinach, asparagus and carrots together.<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-22350898699172976532013-11-20T11:18:00.000+07:002015-04-08T09:45:08.819+07:00คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง Nutritional Value of Honey by LASIK HEALTHY EYES<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoYPcwgP58gTSSCuHVjC9DWS8f5fBhFt7hcaKCibzB1o7Plv0RetKwAYGNNZiDfGUFa2qdNLEUTNb1KCFcWfQwYTMdSunVB3lLLL-QvV3N2x26uJoWO5hep2Zj8hZJcLpGQt8RM3Hw-Job/s1600/17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoYPcwgP58gTSSCuHVjC9DWS8f5fBhFt7hcaKCibzB1o7Plv0RetKwAYGNNZiDfGUFa2qdNLEUTNb1KCFcWfQwYTMdSunVB3lLLL-QvV3N2x26uJoWO5hep2Zj8hZJcLpGQt8RM3Hw-Job/s320/17.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก hdwallpapers.org</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Nutritional Value of Honey.</span></b></div>
<br />
<b>น้ำผึ้ง (Honey)</b> คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) แล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้น น้ำผึ้ง จะค่อย ๆ บ่มตัวเองจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษา ผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียก น้ำผึ้ง นี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนผสมของน้ำตาบกลูโคสและฟรุกโตส ไม่มีการแยกสี ไม่แยกชั้น ไม่เกิดตะกอนและน้ำผึ้งที่ดีจะต้องมาจากกระบวนการผลิตจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ดีและได้มาตรฐานอีกด้วย<br />
<br />
<b>น้ำผึ้ง (Honey)</b> เป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูง ทั้งนี้เนื่องจาก น้ำผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลย่อยง่ายถึง 70% เช่น น้ำตาลฟลุกโตส กลูโคส มอลโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์และปราศจากเชื้ัอโรค เพราะจุลินทรีย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ใน น้ำผึ้ง ได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน แร่ธาตุ กรด และส่วนประกอบอื่น ๆ<br />
<br />
<b>น้ำผึ้ง (Honey) </b>ได้ความหวานจากมอโนแซ็กคาไรด์ ฟรุกโทสและกลูโคส และมีความหวานประมาณเทียบได้กับน้ำตาลเม็ด น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางเคมีที่ดึงดูดในการอบ และมีรสชาติพิเศษซึ่งทำให้บางคนชอบน้ำผึ้งมากกว่าน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่น ๆ จุลินทรีย์ส่วนมากไม่เจริญเติบโตในน้ำผึ้งเพราะมีค่าแอกติวิตีของน้ำต่ำที่ 0.6<br />
<br />
<b>น้ำผึ้ง (Honey) </b>ยังมีสารประกอบหลายชนิดในปริมาณน้อยซึ่งคาดกันว่าทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงไครซิน พิโนแบค์ซิน วิตามินซี คาตาเลสและพิโนเซมบริน<br />
<br />
<u>องค์ประกอบที่เจาะจงของน้ำผึ้งแต่ละกลุ่มนั้นขึ้นอยู่กับดอกไม้ที่ผึ้งใช้ผลิตน้ำผึ้ง</u><br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 ก. (3.5 ออนซ์)</b><br />
- พลังงาน 300 kcal 1270 kJ<br />
- คาร์โบไฮเดรต <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>82.4 g<br />
- น้ำตาล 82.12 g<br />
- เส้นใย 0.2 g <br />
- ไขมัน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>0 g<br />
- โปรตีน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>0.3 g<br />
- น้ำ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>17.10 g<br />
- วิตามินบี2 0.038 mg <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3%<br />
- ไนอะซิน 0.121 mg <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- วิตามินบี5 0.068 mg <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- วิตามินบี6 0.024 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2%<br />
- กรดโฟลิก (B9) 2 μg <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- วิตามินซี 0.5 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- แคลเซียม 6 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- ธาตุเหล็ก 0.42 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3%<br />
- แมกนีเซียม 2 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- ฟอสฟอรัส 4 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- โพแทสเซียม 52 mg <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1%<br />
- โซเดียม 4 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>0%<br />
- ธาตุสังกะสี 0.22 mg<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2%<br />
Shown is for 100 g, roughly 5 tbsp.<br />
100 กรัม ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ ร้อยละของปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน<br />
สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำในสหรัฐอเมริกา<br />
แหล่งที่มา: USDA Nutrient database<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของน้ำผึ้ง</b><br />
<br />
<b>น้ำผึ้ง (Honey) </b>มีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรุกโทสกับกลูโคส และมีวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุทองแดง ธาตุสังกะสี เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่นๆที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก<br />
<br />
<b>ประโยชน์จากน้ำผึ้งต่อสุขภาพ</b><br />
<br />
- ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น<br />
- ช่วยให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ทำงานหนัก หรือการอดนอน เป็นต้น<br />
- ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แก่ผู้ป่วยระยะพักฟื้น และผู้สูงอายุ<br />
- ช่วยบำรุงประสาทและสมองให้สดชื่นแจ่มใส<br />
- ช่วยระงับประสาท อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ<br />
- ช่วยบรรเทาอาการไอ และหวัด<br />
- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร และช่วยย่อยอาหาร<br />
- แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากใน น้ำผึ้ง มีธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบิน จึงมีส่วนช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง<br />
- ช่วยแก้ความดันโลหิตสูง<br />
- ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย<br />
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย<br />
- ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย<br />
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ<br />
- ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ<br />
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง<br />
- น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ<br />
- ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงต้านทานโรคต่างๆได้ดี<br />
- ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก<br />
- ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย<br />
- ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน<br />
- ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล<br />
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว<br />
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์ เป็นต้น<br />
<br />
<b>TIP</b><br />
<b><br /></b>
<b>วิธีเลือกน้ำผึ้งแท้</b><br />
<br />
ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่าง ๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้<br />
<br />
1. ต้องมีความข้นและหนืดพอสมควร แสดงให้เห็นว่าใน น้ำผึ้ง มีน้ำเป็นส่วนประกอบน้อย เป็น น้ำผึ้ง ที่มีคุณภาพสูง<br />
2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล ใส และไม่ขุ่นทึบ<br />
3. กลิ่นของ น้ำผึ้ง หอมตามชนิดของดอกไม้นั้น ๆ เช่น น้ำผึ้ง จากดอกลำไย น้ำผึ้ง จากดอกลิ้นจี่ เป็นต้น<br />
4. น้ำผึ้ง ที่ดีต้องปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้ง รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่าง ๆ ปะปน<br />
5. ต้องไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว และไม่มีฟอง<br />
6. ต้องไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รส<br />
7. ทอลองโดยการหยด น้ำผึ้ง ใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึม<br />
8. ทดสอบโดยการหยด น้ำผึ้ง ลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลาย ถ้าหากเป็น น้ำผึ้ง แท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที<br />
<br />
<b>น้ำผึ้งเก็บอย่างไรให้ถูกต้อง</b><br />
<br />
1. เก็บในภาชนะบรรจุอาหารที่สะอาด<br />
2. เก็บในอุณหภูมิห้องและไม่ให้แสงแดดส่องถึง<br />
3. น้ำผึ้งที่เก็บมาจากรังใหม่ ๆ มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าน้ำผึ้งเก่าหรือน้ำผึ้งที่เก็บไว้เป็นเวลานาน ๆ<br />
<br />
การเก็บน้ำผึ้งไว้นานเกินไป จะทำให้น้ำผึ้งมีสีเข้มจนออกเป็นสีดำ ยิ่งถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีอากาศร้อนด้วยแล้วจะยิ่งมีสีดำเร็วขึ้น เพราะมีสาร HMF สูง สารเอชเอ็มเอฟ คือ ชื่อย่อของสารเคมีที่มีชื่อว่า (hydroxy methylfur furaldehyde) ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จนเกิดปฏิกิริยาเคมีของการย่อยสลาย น้ำตาลฟรุกโตส ในน้ำผึ้ง ความร้อนและแสงแดดจะเป็นตัวเร่งให้ปฏิกิริยานี้ให้เกิดเร็วขึ้น<br />
<br />
ดังนั้นจึงควรเก็บน้ำผึ้งไว้ในที่มืดและเย็น แต่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น อย่างไรก็ตาม สารเอชเอ็มเอฟในน้ำผึ้งนี้จะมีปริมาณน้อยมาก ไม่ค่อยมีอันตรายต่อผู้บริโภคหากจะบริโภคน้ำผึ้งสีเข้มจนเกือบดำ<br />
<br />
โดยทั่วไปน้ำผึ้งจะเก็บได้นานประมาณ 1-2 ปี หากเก็บไว้นานกว่านี้ สี กลิ่น รส ก็จะเปลี่ยนไปที่เห็นชัดคือน้ำผึ้งจะมีสีน้ำตาลเข้มจนดำ<br />
<br />
<b>ข้อควรระวังในการใช้น้ำผึ้ง</b><br />
<br />
แม้น้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคน บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ ไม่ควรดื่มน้ำผึ้ง<br />
<br />
1. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน แต่หากอยู่ในระดับที่ยังสามารถกินอาหารรสหวานได้บ้างเล็กน้อย การใช้ น้ำผึ้ง ใส่ในอาหารและเครื่องดื่มก็เป็นการดีกว่าการใช้น้ำตาล<br />
2. คนที่มักมีอาการอาหารไม่ย่อย และอาเจียนบ่อยๆ<br />
3. ไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบดื่มน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมี สปอร์ของเชื้อคลอสตริเดียมโบทูลินัม ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อนี้จะเจริญเติบโตได้ ในทางเดินอาหารของเด็กเล็ก ทำให้เกิดสารพิษที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ กรณีดังกล่าวนี้แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ระมัดระวังป้องกันไว้ก่อนย่อมปลอดภัยกว่า<br />
4. ผู้ป่วยบางรายที่ไม่แนะนำให้กิน น้ำผึ้ง แบบเข้มข้นโดยที่ไม่ผสมอะไรเลย เช่น ผู้ที่มีอาการดีพิการ (มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง) ผู้ที่มีเสมหะพิการ (มีเสมหะมาก และมีภาวะโรคปอดแทรก) และผู้ที่มีน้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง ต่าง ๆ<br />
5. บางครั้งน้ำผึ้งอาจจะได้มาจากน้ำหวานของเกสรดอกไม้ที่เป็นพิษ เช่น น้ำหวานจากดอกของต้นตาตุ่มทะเล ซึ่งเป็นไม้ชายเลนที่มีพิษ เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ท้องเดิน<br />
<br />
ดังนั้นก่อนซื้อน้ำผึ้งที่หาบเร่ขาย หรือขายอยู่ริมทาง ควรสอบถามถึงที่มาของน้ำผึ้งให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Balance the 5 elements : </b><br />
<br />
Honey has been used in ayurvedic medicine in India for at least 4000 years and is considered to affect all three of the body’s primitive material imbalances positively. It is also said to be useful useful in improving eyesight, weight loss, curing impotence and premature ejaculation, urinary tract disorders, bronchial asthma, diarrhea, and nausea.<br />
<b>Thanks English Info From : Real Food For Life</b><br />
<b>http://goo.gl/98GYZh</b><br />
<br />
<b>Nutritional facts of honey : </b><br />
<br />
Honey is a combination of sugars and some other compounds. Mainly it contains fructose, glucose, maltose, carbohydrates and a small amount of vitamins, minerals and amino acids. Vitamins such as Thiamin, Niacin, Pyridoxine (B6) and minerals like Calcium, Copper, Iron, Magnesium, Manganese, Phosphorus, etc believed to work as antioxidants. The precise composition of honey depends on the type of flowers bees use for honey manufacturing.<br />
<br />
<b>For good eye sight :</b><br />
<br />
2 teaspoons of honey should be mixed with carrot juice and consumed on a regular basis. It is especially beneficial for persons who spend long hours before the computer.<br />
<b>Thanks Info From : Read And Digest</b><br />
<b>http://goo.gl/9EToRa</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
น้ำผึ้ง : จากวิกิพีเดีย<br />
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87<br />
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน<br />
http://www.doctor.or.th/article/detail/1646<br />
7 Amazing Benefits And Uses Of Honey : StyleCraze<br />
http://www.stylecraze.com/articles/7-benefits-and-uses-of-honey/<br />
Honey: Nutritioinal Facts & Health Benefits<br />
http://readanddigest.com/health-benefits-of-honey/<br />
For Your Eyes Only…: Read And Digest<br />
http://readanddigest.com/how-to-take-care-of-your-eyes/<br />
หลากประโยชน์ที่เราอาจมองข้าม จากน้ำผึ้ง : Pooyingnaka.com<br />
http://www.pooyingnaka.com/content/content.php?No=3664<br />
น้ำผึ้ง - ผึ้งบำบัด - Google Sites<br />
https://sites.google.com/site/powerofbee/apitherapy-products/honey<br />
กว่าจะเป็นน้ำผึ้ง : กรมส่งเสริมการเกษตร<br />
http://www.aopdb03.doae.go.th/KM/best%20bee.htm<br />
10 Health Benefits of Honey : Real Food For Life<br />
http://realfoodforlife.com/health-benefits-of-honey/<br />
คุณค่าของน้ำผึ้ง : Regional Information Service Centre for South East Asia on Appropriate Technology (RISE-AT)<br />
http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/nl/2003/02/07.php<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-54726580346666228442013-11-19T12:01:00.000+07:002015-04-08T09:53:10.949+07:00ประโยชน์ของกะหล่ำปลีต่อสุขภาพ The Health Benefits of Cabbage by LASIK HEALTHY EYES<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_udRLEgoXtxjgYRUVjfZ2kgFFE0bNIbOGzmIwG00-ogHhctNg0lRilRfhZkq_mDqWTbJWth8oPnJCKuq0ohX-Q1FGCMG3XRWqLDJnNSpyxqKeT8mzjR15J804m_NLUXc6KFvQtQzxc0CE/s1600/16.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_udRLEgoXtxjgYRUVjfZ2kgFFE0bNIbOGzmIwG00-ogHhctNg0lRilRfhZkq_mDqWTbJWth8oPnJCKuq0ohX-Q1FGCMG3XRWqLDJnNSpyxqKeT8mzjR15J804m_NLUXc6KFvQtQzxc0CE/s320/16.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก wordenfarm.com</span><br />
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของกะหล่ำปลี</span></b><b><span style="font-size: large;">ต่อสุขภาพ</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">The Health Benefits of Cabbage.</span></b></div>
<br />
<b>กะหล่ำปลี หรือ กะหล่ำใบ หรือ กะหล่ำปลีเขียว (Cabbage)</b> เป็นชื่อไม้ล้มลุก ภาษาอังกฤษ "Cabbage " มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea L. var. capitata ในวงศ์ Cruciferae มีสัณฐานกลม ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกันกะหล่ำปลีจะมีสีเขียว แต่สีอื่นๆก็มีเช่นกัน เช่น ขาว ม่วง และสีแดง โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเมดิเตอเรเนียน และภายหลังได้แพร่กระจายทั่วไป<br />
<br />
<b>กะหล่ำปลีแบ่งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ออกเป็น 3 ชนิด คือ</b><br />
<br />
กะหล่ำปลีมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea var. capitata Linn. อยู่ในตระกูล Cruciferae เป็นพืช 2 ฤดู แต่มักปลูกเป็นพืชฤดูเดียว มีขนาดรูปร่างและสีของใบแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์ รวมทั้งขนาด รูปร่าง สี และความแน่นของหัวก็จะแตกต่างกันด้วยพันธุ์ พันธุ์ของกะหล่ำปลีสามารถแยกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ<br />
<br />
<b>1. กะหล่ำปลีธรรมดา (Green Cabbage)</b> มีความสำคัญและปลูกมากที่สุดในแง่ผักบริโภค มีลักษณะหัวหลายแบบ ตั้งแต่หัวกลม หัวแหลมเป็นรูปหัวใจ จนถึงกลมแบนราบ มีสีเขียวจนถึงเขียวอ่อน เป็นพันธุ์ที่ทนร้อน อายุการเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 50-60 วัน พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ลูกผสมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ผสมเปิดอื่น ๆ อีกเช่น พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต พันธุ์โกเดนเอเลอร์เป็นต้น<br />
<br />
<b>2. กะหล่ำปลีแดง (Red Cabbage)</b> มีลักษณะหัวค่อนข้างกลม ใบสีแดงทับทิมส่วนใหญ่มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน ต้องการอากาศหนาวเย็นพอสมควรเมื่อนำไปต้มน้ำจะมีสีแดงคล้ำพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์รูบี้บอล รูบี้เพอเฟคชั่น<br />
<br />
<b>3. กะหล่ำปลีใบย่น (Savoy Cabbage)</b> มีลักษณะผิวใบหยิกย่นและเป็นคลื่นมากต้องการอากาศหนาวเย็นในการปลูกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกะหล่ำปลีสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบดินโปร่ง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตประมาณ 22-25 องศาเซลเซียส มีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) อยู่ในช่วง 6-6.5 ความชื้นในดินสูงพอสมควรและได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน<br />
<br />
<b>สารอาหาร</b><br />
<br />
ในกะหล่ำปลี มีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน สามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารและมีสารกอยโตรเจนที่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก นอกจากนั้นยังพบว่ามีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ มีการวิจัยพบกะหล่ำปลีใช้ประคบเต้านมลดปวดแก้นมคัดแม่หลังคลอด<br />
<br />
- กะหล่ำปลีนี้มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ มีทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินอี โฟเลต <b>เบต้าแคโรทีน</b> และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก โพแทสเซียม และแมกนีเซียม<br />
<br />
- อุดมไปด้วยวิตามินซี จากการศึกษาพบว่ากะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูงมาก ในกะหล่ำปลีฝอย 1 ถ้วยมีวิตามินซีถึง 18 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับวิตามินซีในส้มเขียวหวาน 1 ผลเลยทีเดียว<br />
<br />
- สรรพคุณทางยา กะหล่ำปลียังช่วยบรรเทา โรคกระเพาะอาหารอักเสบ นักวิจัยศึกษาพบว่า สารกลูทามีนในกะหล่ำปลีช่วยเคลือบกระเพาะอาหารได้ อีกทั้งยังมีสารซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ทำให้การขับถ่ายดี ไม่เพียงเท่านั้น สารซัลเฟอร์นี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเทอรอล ระงับประสาท และทำให้นอนหลับได้ง่ายอีกด้วย<br />
<br />
<b>กะหล่ำปลีดิบ มีวิตามิซีสูง</b>การนำไปปรุงอาหารควรใช้วิธีการนึ่งจะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด หรือจะรับประทานเป็นผักสลัดได้ก็ ทั้งนี้ไม่ควรนำไปนึ่ง ต้ม ผัดนานจนเกินไป<br />
<br />
คุณค่าทางโภชนาการของกะหล่ำปลีดิบต่อ 100 กรัม<br />
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี<br />
- พลังงาน 25 กิโลแคลอรี<br />
- คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม<br />
- น้ำตาล 3.2 กรัม<br />
- เส้นใย 2.5 กรัม<br />
- ไขมัน 0.1 กรัม<br />
- โปรตีน 1.28 กรัม<br />
- วิตามินบี1 0.061 มิลลิกรัม 5%<br />
- วิตามินบี2 0.040 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินบี3 0.234 มิลลิกรัม 2%<br />
- วิตามินบี5 0.212 มิลลิกรัม 4%<br />
- วิตามินบี6 0.124 มิลลิกรัม 10%<br />
- วิตามินบี9 43 ไมโครกรัม 11%<br />
<b>- กะหล่ำปลีวิตามินซี 36.6 มิลลิกรัม 44%</b><br />
- ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%<br />
- ธาตุเหล็ก 40 มิลลิกรัม 4%<br />
- ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุแมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม 8%<br />
- ธาตุฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม 4%<br />
- ธาตุโพแทสเซียม 170 มิลลิกรัม 4%<br />
- ธาตุโซเดียม 18 มิลลิกรัม 1%<br />
- ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 2%<br />
- ฟลูออไรด์ 1 ไมโครกรัม<br />
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของกะหล่ำปลี</b><br />
<br />
- กะหล่ําปลี มีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้<br />
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เพราะกะหล่ำปลีดิบอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างและบำรุงกระดูก<br />
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง<br />
- ช่วยบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย<br />
- กะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน ที่สามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้<br />
- ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย หลับสนิท เพราะกะหล่ำปลีดิบมีสารซัลเฟอร์ซึ่งมีส่วนช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียด<br />
- กะหล่ำปลี สรรพคุณทางยามีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ ฯลฯ<br />
<br />
<u>สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ ควรรับประทานผักกะหล่ำปลีด้วย เพราะอุดมไปด้วย Sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของ DNA และลดความเสียหายของ DNA ในร่างกาย</u><br />
<br />
ประโยชน์ของกะหล่ำปลีใช้ประกอบอาหาร เช่น ผัดกะหล่ำปลีใส่ไข่, กะหล่ำปลีตุ๋นซี่โครงอ่อน, กะหล่ำปลีต้มยัดไส้หมู, กะหล่ำปลีม้วนใส่หมูบดปรุงรส, ถุงทองกกะหล่ำปลี, ต้มกะหล่ำปลีเจ, แกงส้ม, แกงจืด, ห่อหมก, รับประทานร่วมกับน้ำพริก, ทำเป็นสลัด ฯลฯ<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
<u>ผักกะหล่ำปลี จะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นตัวขัวขวางการดูดซึมของไอโอดีนผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้เป็นคอหอยพอกได้ แต่สารพิษที่ว่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีการนำไปต้ม</u><br />
<u><br /></u>
<u>ดังนั้นจึงควรรับประทานกะหล่ำปลีที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า แม้ว่าวิตามินจะหายไปบ้างก็ตาม แต่ก็มีคำแนะนำว่าการเกิดปัญหาจากสารพิษชนิดนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีจนถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องเป็นการรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำและในปริมาณมาก</u><br />
<u><br /></u>
<u>กะหล่ำปลีดิบควรรับประทานแต่พอเหมาะ เนื่องจากการรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ และที่สำคัญควรระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลงให้มาก เพราะกะหล่ำปลีนั้นติดอับดับ 1 ใน 5 ผักที่มีสารปนเปื้อนมากที่สุด การบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชักหรือหมดสติได้</u><br />
<br />
<b>TIP</b><br />
<br />
ก่อนการนำมารับประทานก็ควรล้างให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีการลอกหรือปอกเปลือกออกแล้วแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-72 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสำหรับวิธีอื่นๆก็เช่น แช่น้ำปูนใส, การใช้ความร้อน, แช่น้ำด่างทับทิม, ล้างด้วยนำไหลจากก๊อก, แช่น้ำซาวข้าว, แช่น้ำสมสายชูหรือเกลือป่น, แช่น้ำยาล้างผัก เป็นต้น<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Cabbage</b><br />
<br />
Cabbage is versatile and a staple in many countries. Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are high in Vitamin C, Vitamin A and fiber. They’re also a great source of folacin, potassium and dietary fiber. Recent research by the American Institute for Cancer Research indicates that eating cruciferous vegetables is associated with reducing certain types of cancer.<br />
<br />
<b>Green Cabbage</b><br />
<br />
Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are known for their cancer-preventing nutrients and antioxidants. High in vitamin C, vitamin A and fiber.<br />
Nutrition Information<br />
Serving Size Per 150 g of cabbage<br />
Energy 36 cal<br />
Protein 2.3 g<br />
Fat 0.3 g<br />
Carbohydrates 6.0 g<br />
Dietary Fibre 0.3 g<br />
Sodium 27 mg<br />
Potassium 335 mg<br />
<b>Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.</b><br />
<br />
<b>Red Cabbage</b><br />
<br />
Red cabbage contains more vitamin A, vitamin C, and iron than green cabbage. Red cabbage contains an extra nutrient not found in green cabbage – anthocyanin – an antioxidant that produces the red colour, improves memory, and suppresses appetite.<br />
Nutrition Information<br />
Serving Size Per 150 g of cabbage<br />
Energy 36 cal<br />
Protein 2.3 g<br />
Fat 0.3 g<br />
Carbohydrates 6.0 g<br />
Dietary Fibre 0.3 g<br />
Sodium 27 mg<br />
Potassium 335 mg<br />
<b>Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.</b><br />
<br />
<b>Savoy Cabbage</b><br />
<br />
Savoy cabbage is low-cost, low-calorie, fat-free, and a good source of vitamin A, C, E, B6, B12, and K. Vitamin K helps the body form blood clots to stop bleeding. One cup of cabbage supplies half the vitamin K needed per day.<br />
Nutrition Information<br />
Serving Size Per 150 g of cabbage<br />
Energy 36 cal<br />
Protein 2.3 g<br />
Fat 0.3 g<br />
Carbohydrates 6.0 g<br />
Dietary Fibre 0.3 g<br />
Sodium 27 mg<br />
Potassium 335 mg<br />
<b>Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.</b><br />
<b><br /></b>
<b>Taiwanese Cabbage</b><br />
<br />
Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are known for their cancer-preventing nutrients and antioxidants. High in vitamin C, vitamin A and fiber.<br />
Nutrition Information<br />
Serving Size Per 150 g of cabbage<br />
Energy 36 cal<br />
Protein 2.3 g<br />
Fat 0.3 g<br />
Carbohydrates 6.0 g<br />
Dietary Fibre 0.3 g<br />
Sodium 27 mg<br />
Potassium 335 mg<br />
<b></b><br />
<b>Source: Fresh Fruit & Vegetable nutrition Encyclopedia Fresh for Flavor Foundation 1991.</b><br />
<b>Thanks English Info From : Cabbage : BCfresh</b><br />
<b>http://bcfreshvegetables.com/products-bcfresh/cabbage/</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง :<br />
<br />
กะหล่ำปลี : จากวิกิพีเดีย<br />
http://goo.gl/bPcbhD<br />
กะหล่ำปลี สุดยอดผักวิตามินซี : THAI HEALTHY FOOD<br />
http://goo.gl/B9o0es<br />
Greenerald<br />
http://goo.gl/9D7AAp<br />
Cabbage : BCfresh<br />
http://bcfreshvegetables.com/products-bcfresh/cabbage/<br />
กะหล่ำปลี - เรื่องราวน่าสนใจ<br />
http://202.28.48.140/isaninfo/?p=151<br />
แหล่งข้อมูล : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com<br />
<br />SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-68327769435621682402013-11-19T11:55:00.000+07:002015-04-08T09:53:53.571+07:00ประโยชน์ต่อสุขภาพของแตงกวา Health Benefits of Cucumbers by LASIK HEALTHY EYES<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6Lx6NGWvJM_Wn0LAW3blOXUGtubNGz-d8ue9OxoybhgvtzRYbBmmmyA8Sdc9ocXXkV11n5-w6Mn5c7czT3maP3XlwTch8Qarn0CHtnDOazlzqDiSqsVpUrp2JV8VSNjb6yvIrUJwdl3Bb/s1600/15.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6Lx6NGWvJM_Wn0LAW3blOXUGtubNGz-d8ue9OxoybhgvtzRYbBmmmyA8Sdc9ocXXkV11n5-w6Mn5c7czT3maP3XlwTch8Qarn0CHtnDOazlzqDiSqsVpUrp2JV8VSNjb6yvIrUJwdl3Bb/s320/15.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก kuhnya-tv.livejournal.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ต่อสุขภาพของแตงกวา</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits of Cucumbers.</span></b></div>
<br />
<b>ชื่อวิทยาศาสตร์</b> Cucumis Sativus Linn.<br />
<b>ชื่อสามัญ</b> Cucumber<br />
<b>วงศ์</b> CUCURBITACEAE<br />
<b>ชื่อท้องถิ่น </b> แตงขี้ไก่ แตงขี้ควาย แตงช้าง แตงปี แตงร้าน (ภาคเป็น) เป็นต้น<br />
<br />
<b>แตงกวา (</b><b style="text-align: center;">Cucumber)<span style="font-size: large;"> </span></b>มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ในบ้านเราก็นิยมปลูกแตงกวาเป็นอาชีพ เนื่องจากเป็นผักที่ปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็ว การเก็บรักษาง่ายกว่าผักชนิดอื่นๆ<br />
<br />
<b>ลักษณะของแตงกวา</b> คือ แตงกวาเป็นพืชล้มลุก เป็นไม้เลื้อยจัดอยู่วงศ์ Cucurbitaceae เป็นตระกูลเดียวกับฟักทอง แตงโม มะระ น้ำเต้า และบวบ ผลแตงกวามีลักษณะกลมยาวทรงกระบอก ความยาวตั้งแต่ 5-40 เซนติเมตร ไส้ภายในผลประกอบด้วยเมล็ดมากมาย<br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการของแตงกวาพร้อมเปลือก ต่อ 100 กรัม</b><br />
- พลังงาน 16 กิโลแคลอรี<br />
- แตงกวาคาร์โบไฮเดรต 3.63 กรัม<br />
- น้ำตาล 1.67 กรัม<br />
- เส้นใย 0.5 กรัม<br />
- ไขมัน 0.11 กรัม<br />
- โปรตีน 0.65 กรัม<br />
- น้ำ 95.23 กรัม<br />
- วิตามินบี1 0.027 มิลลิกรัม 2%<br />
- วิตามินบี2 0.033 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินบี3 0.098 มิลลิกรัม 1%<br />
- วิตามินบี5 0.259 มิลลิกรัม 5%<br />
- วิตามินบี6 0.04 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินบี9 7 ไมโครกรัม 2%<br />
- วิตามินซี 2.8 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม<br />
- ธาตุแคลเซียม 16 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุเหล็ก 0.28 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุแมกนีเซียม 13 มิลลิกรัม 4%<br />
- ธาตุแมงกานีส 0.079 มิลลิกรัม 4%<br />
- ธาตุฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุโพแทสเซียม 147 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%<br />
- ธาตุสังกะสี 0.2 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุฟลูออไรด์ 1.3 ไมโครกรัม 11%<br />
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของแตงกวา เช่น</b><br />
<br />
- แตงกวา ประโยชน์ช่วยกำจัดของเสียที่ตกค้างในร่างกาย<br />
- แตงกวามีสารฟีนอลที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ<br />
- ช่วยลดความดันโลหิต (เถาแตงกวา)<br />
- ช่วยรักษาสมดุลต่างๆในร่างกาย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ระดับภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสุขภาพดี<br />
- ช่วยควบคุมระดับความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย (โพแทสเซียม, แมงกานีส)<br />
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบการหมุนเวียนเลือด (แมกนีเซียม)<br />
- ช่วยเสริมสร้างการทำความของระบบประสาท เพิ่มความจำ (ผล,เมล็ดอ่อน)<br />
- แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของเสียตกค้างในร่างกาย<br />
- แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย<br />
- เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม โมลิบดีนั่ม แมงกานีส และแมกนีเซียม<br />
- ซิลิก้า เป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก<br />
- ปริมาณ เส้นใย ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย<br />
- ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด<br />
- เส้นใยอาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะ กับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก<br />
- แตงกวาเป็นผักที่เหมาะกับการรับประทานยามอากาศร้อนเพราะลดความร้อนและช่วยให้ร่างกายสดชื่น<br />
- มีสารฟีนอลทำหน้าที่ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น<br />
- น้ำแตงกวายังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดกรดกระเพาะอาหาร แก้กระหายน้ำ<br />
- แตงกวา มีสรรพคุณช่วยแก้กระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เป็นต้น<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
<u>ถ้าจะนำแตงกวามาปั่นทานทุกวันก็ไม่อาจจะไม่ค่อยเป็นผลดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่ เพราะแตงกวามีกรดยูริก (ซึ่งอยู่ในน้ำเมือกใสๆ) โดยเฉพาะถ้าเป็นการนำมาปั่นสดๆ แล้วรับประทานทุกวัน ร่างกายก็อาจจะสะสมกรดยูริกเข้าไป ถ้าหากร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็จะไปสะสมทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแคลเซียมในกระบวนการสร้างเซลล์กระดูก ความแข็งแรงของเม็ดเลือด ผลที่ตามมาอาจทำให้เกิดอาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาท์ (ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้ออยู่แล้วก็ควรระวังให้มาก)</u><br />
<b><u>แหล่งอ้างอิง : รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สถาบันการแพทย์แผนไทย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)</u></b><br />
<br />
<b>TIP</b><br />
<br />
- บรรเทาอาการแสบผิวด้วยโลชั่นแตงกวาสูตรเย็นต่อไปนี้ดูสิ ผสมน้ำแตงกวาคั้น (เลือกลูกใหญ่ๆ) กับกลีเซอรีนครึ่งช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแดดเผา โลชั่นจะช่วยให้ผิวเย็นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง ทั้งนี้เพราะแตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่นให้ผิว<br />
- <u>ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นหลับตาวางแว่นแตงกวาลงบนเปลือกตา ประมาณ 10 นาที โดยให้นอนพักสายตาในที่เงียบแสงสลัวๆ เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา จะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตา ที่เกิดจากการใช้งานนานๆ ได้รับฝุ่นควัน แสงจ้า หรือใส่คอนแท็กเลนส์นานเกินไป</u><br />
- ช่วยบำรุงผิว โดยผสมน้ำคั้นแตงกวา น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำแช่กลีบกุหลาบ กลีเซอรีน และน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน ใช้ทาผิวให้ตึงกระชับเพิ่มความอ่อนเยาว์<br />
- ช่วยการเจริญของผม ให้ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาและน้ำแครอทเป็นประจำ ซิลิก้าและกำมะถันในน้ำแตงกวาจะช่วยบำรุงเส้นผม เล็บและผิวหนัง<br />
- ช่วยทรีตเม้นท์ลดความเสียหายของผมจากคลอรีน โดยผสมไข่ 1 ฟอง น้ำมันมะกอก 3 ช้อนชา และแตงกวาปอกแล้ว 1 ส่วน 4 ผล ชโลมบนเส้นผม ทิ้งไว้ 10 นาทีจึงล้างออก<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>วิตามินบี 1</b> มีคุณสมบัติช่วยบำรุงดวงตาได้เป็นอย่างดี การขาดวิตามินบี 1 มีผลทำให้ประสาทที่นำภาพไปสู่สมองเกิดความผิดปกติได้ และยังช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น<br />
<br />
<u>ธาตุสังกะสี (zinc) จะทำงานร่วมกับ วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ได้ดีที่สุด</u><br />
<br />
<b>ธาตุสังกะสี (zinc)</b> เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์สำคัญมากมาย รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่างซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD) ประโยชน์ของสังกะสี ช่วยในการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มการตื่นตัวทางจิต มีส่วนช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอล ถ้าขาดสังกะสีแล้วจะเจริญเติบโตช้า ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และตาบอดกลางคืนได้<br />
<br />
<b>วิตามินเอ</b> เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกายในด้านการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Nutritional Profile</b><br />
<br />
Cucumbers provide us with a variety of health-supportive phytonutrients. Included among these phytonutrients are flavonoids (apigenin, luteolin, quercetin, and kaempferol), lignans (pinoresinol, lariciresinol, and secoisolariciresinol), and triterpenes (cucurbitacins A, B, C, and D).<br />
<br />
Cucumbers are an excellent source of anti-inflammatory vitamin K. They are also a very good source of the enzyme-cofactor molybdenum. They are also a good source of free radical-scavenging vitamin C; heart-healthy potassium and magnesium, bone-building manganese, and energy-producing vitamin B5. They also contain the important nail health-promoting mineral silica.<br />
<b>Thanks English Info From : The World's Healthiest Foods</b><br />
<b>http://goo.gl/RbZtcZ</b><br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Cucumber for Eyes</b><br />
<br />
It is believed that cucumber helps in reducing swelling around the eyes or the big dark circles under your eyes. This is world-wide treatment which is being used to its maximum extent.<br />
<br />
Cucumbers are the most wonderful and natural eye pads you can find for yourself. The puffiness and the tiredness in your eyes may just leave you, if you do this in a relaxed fashion. These natural eye pads do wonders after a long days work.<br />
<br />
<b>Cucumber Side Effects:</b><br />
<br />
Cucumbers are not entirely reaction free. They do have some side effects. Some of these are:<br />
<br />
- Allergies, especially around oral cavity, itchiness and swelling may also develop due to allergy. This can be redeemed by cooking the food rather than eaten it in its raw form.<br />
- Cucumber can also lead to gastritis problems in some people which are mainly caused due to a compound known as cucurbitacin which causes indigestion. This can be avoided by eating cucumbers which have undergone breeding or whose compound has been removed.<br />
- Cucumber can also cause toxicity and baldness caused by chemicals found in the cucumbers. This usually happens when one consumes excess of cucumber.<br />
<b>Thanks English Info From : Cucumber Side Effects : StyleCraze</b><br />
<b>http://goo.gl/xPKprF</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
แตงกวา : จากวิกิพีเดีย<br />
th.wikipedia.org/wiki/แตงกวา<br />
กรีนเนอรัลด์<br />
www.greenerald.com/แตงกวา/<br />
The World's Healthiest Foods<br />
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=42<br />
Health Benefits of Cucumber : My Health List.<br />
http://myhealthlist.us/2013/02/health-benefits-of-cucumber/<br />
Cucumber Side Effects : StyleCraze<br />
http://www.stylecraze.com/articles/benefits-of-cucumber-for-skin-hair-and-health/<br />
Cucumber for Eyes : Disabled World<br />
http://www.disabled-world.com/artman/publish/cucumber_benefits.shtml<br />
Health Benefits of Cucumber : Juicing For Health<br />
http://juicing-for-health.com/basic-nutrition/healing-vegetables/health-benefits-of-cucumber.html<br />
phantavee / นานาสาระเกี่ยวกับการเกษตร / ประโยชน์ของ แตงกวา<br />
http://archive.wunjun.com/phantavee/3/348.html<br />
แตงกวา (Cucumber) การปลูกแตงกวา - ฐานข้อมูลพืชผัก บทความเกษตร<br />
www.vegetweb.com › ผักตระกูล แตง<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-81800818653464107732013-11-19T11:34:00.001+07:002015-04-08T09:54:53.340+07:00ประโยชน์ทางโภชนาการของกระเทียม Nutritional Benefits of Garlic by LASIK HEALTHY EYES<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi25ECyFCs9W1Axmm8adaLGgn0jAWKD7i6XrJaq174qi35fFEU20ytpkVatBry9AHUAWpkAHybhwx-OsJTdeJyRnLgZhSYdHQdlu92bvWrTiUz6wT07o5G9aRR04gGPDCizrAUM1JRu6Q4y/s1600/14.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi25ECyFCs9W1Axmm8adaLGgn0jAWKD7i6XrJaq174qi35fFEU20ytpkVatBry9AHUAWpkAHybhwx-OsJTdeJyRnLgZhSYdHQdlu92bvWrTiUz6wT07o5G9aRR04gGPDCizrAUM1JRu6Q4y/s320/14.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก thaimtb.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>ประโยชน์ทางโภชนาการของกระเทียม</b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>Nutritional Benefits of Garlic.</b></span></div>
<br />
<b>ชื่อวิทยาศาสตร์</b> : Allium sativum L.<br />
<b>วงศ์</b> : Alliaceae<br />
<b>ชื่อสามัญ</b> : Common Garlic , Allium ,Garlic ,<br />
<b>ชื่ออื่น</b> : กระเทียม (ภาคกลาง) หอมเทียม (ภาคเหนือ) หอมขาว (ภาคอีสาน) เทียม, หอมเทียม (ภาคใต้)<br />
<br />
<b>สารสำคัญที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นหอมฉุนเผ็ดร้อน </b>คือ เอนไซม์อัลลิเนส (Allinase) ที่เปลี่ยนสารอินทรีย์กำมะถันอัลลิอิน (Alliin)ให้เป็นน้ำมันหอมระเหยอัลลิซิน (Allicin) และเมื่อนำหัวกระเทียมสดมากลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันกระเทียม (Garlic oil)นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหาร น้ำ กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล กรดอะมิโน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี ฯลฯ<br />
<br />
<b>ในกระเทียม 100 กรัม ให้พลังงาน 149 กิโลแคลอรี (kcal) และให้คุณค่าทางอาหารดังนี้</b><br />
- น้ำ 58.6<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- ฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม<br />
- คาร์โบไฮเดรต 33.1 กรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- โพแทสเซียม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 401<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>มิลลิกรัม<br />
- โปรตีน 6.4 กรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- ซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม<br />
- ไขมัน 0.5 กรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม<br />
- แคลเซียม 181 มิลลิกรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- โฟเลท 3.1 ไมโครกรัม<br />
- แมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
- ใยอาหาร 2.1<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กรัม<br />
<br />
<b>นอกจากนี้ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิด</b> ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟโตนิวเทรียนท์ในกลุ่มออร์แกโนซัลเฟอร์ (Organosulfur) ได้แก่ สารอัลลิซิน (Allicin) ที่เป็นองค์ประกอบหลักของไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ให้กลิ่นเฉพาะตัวของกระเทียม โดยน้ำหนักกระเทียม 1 กรัม จะพบประมาณ 4.38-4.65 มิลลิกรัม<br />
<br />
<b>กระเทียม (Garlic)</b> อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี ธาตุซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี (โดยกระเทียมถือว่าเป็นพืชที่มีธาตุซีลีเนียมมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ) นอกจากนี้ยังมีสารอะดิโนซีน ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย แต่ในส่วนของด้านแร่ธาตุนั้นจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับดินที่ใช้ในการปลูกด้วย<br />
<br />
<b>ส่วนประกอบและสรรพคุณของกระเทียม</b><br />
<br />
<b>- กระเทียม ประกอบด้วย</b> โปรตีน คาร์โบไฮเดรท แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ประกอบด้วยสารอินทรีย์ที่มีกำมะถันหลายชนิด เช่น อัลลิซิน 0.6-1.0% อัลลิอิน (alliin) ไดอัลลิลไดซัลไฟด์ (diallyl disulfide) เมทิลอัลลิลไตรซัลไฟด์ (methyl allyl trisulfide) คูมาริน (coumarin) เอสอัลลิลซีสเตอีน (S-allylcysteine) เป็นต้น<br />
<br />
<b>- กระเทียม มีน้ำมันหอมระเหย</b> <b>มีสารประกอบมากกว่า 200 ชนิด</b><br />
กระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย โดยเฉพาะจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) ได้แก่ Salmonella typhymurium,Bacillus subtilis Escherichia coli, Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, เชื้อรา ได้แก่ Aspergillus ยีสต์ Candida albicans และและปรสิต (parasite) ใช้เป็นสารกันเสีย (preservative) ในอาหาร<br />
<br />
<b>- กระเทียม สามารถลดความดันโลหิตสูง</b> ลดไขมันและคอเลสเตอรอล ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว ลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ยังเป็นยาขับเสมหะ รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีฤทธิ์ขับเหงื่อ และขับปัสสาวะ<br />
<br />
<b>- กระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง </b>ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก<br />
<br />
<b>- กระเทียมมีสารชักนำวิตามินบี 1 (Vitamin B1) </b>เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้vitamin B1ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น<br />
<br />
<b>- กระเทียมอุดมไปด้วยสารอาหารเช่นซีลีเนียม, Quercetin และวิตามินซี </b>ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยรักษาโรคติดเชื้อที่ตาและอาการบวม<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
<u>กระเทียม นั้นสำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่ในครัวหรือสัมผัสกับกระเทียมบ่อยๆ เป็นระยะเวลานาน ผิวหนังอาจจะเกิดการอักเสบ มีตุ่มน้ำ หรือคนที่ได้รับกลิ่นกระเทียมบ่อยๆก็สามารถเกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อรับ ประทานได้ โดยอาจมีการ คลื่นไส้ หัวใจเต้นแรงผิดปกติ แต่อาการดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง โดยกระเทียมที่ปรุงในอาหารนั้นมักจะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมสด</u><br />
<u><br /></u>
<u>สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตเป็นปกติ ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ หรือผู้ที่มีอาการเลือกหยุดไหลช้า สตรีมีครรภ์ หรือเลี้ยงลูกด้วยนม หรือผู้ที่ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ เช่น ยาแอสไพริน ยา ปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส ยาแก้อักเสบ ไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี</u><br />
<br />
<b>***ในแต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆกันทุกวัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและมีสุขภาพที่ดี***</b><br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Garlic</b><br />
<br />
For a small vegetable, garlic (Allium sativum) sure has a big, and well deserved, reputation. This member of the Lily family, a cousin to onions, leeks and chives, can transform any meal into a bold, aromatic and healthy culinary experience.<br />
<br />
Garlic is arranged in a head, called the "bulb," which is made up of separate cloves. Both the cloves and the entire bulb are encased in paper-like sheathes that can be white, off-white or pinkish.<br />
<br />
Garlic cloves are off-white in color, and although they have a firm texture, they can be easily cut or crushed. The taste of garlic is like no other; it hits the palate with a hot pungency that is shadowed by a very subtle background sweetness.<br />
<br />
<b>Eye care: Garlic is rich in nutrients like Selenium, Quercetin and Vitamin C that helps treat eye infections and swellings.</b><br />
<br />
<b>More on This Wonderful Herb</b><br />
<br />
The health benefits of garlic were realized centuries ago by mankind. Garlic is very effective when eaten raw-(crushed or chopped). Just one clove per day may bring vast improvement in your over al health. 2 to 3 cloves could prevent an attack of common cold. Garlic used in cooking should be added last for more benefit. But, taking too much garlic is also not very god as it may cause irritation in the digestive system. Garlic should be added as a part of healthy normal diet, it need not be used as an alternative. The only drawback being its pungent smell and taste that leaves a bad breadth, garlic is a medicinal boon for mankind.<br />
<b>Thanks English Info From : Garlic Health Benefits : NaturalFoodBenefits</b><br />
<b>http://goo.gl/XRnPHo</b><br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Health Benefits of Garlic</b><br />
<br />
Garlic has a pungent smell, and is good in certain dishes, but is there more too it? Why is garlic so often considered a great, healthy herb? Well, for one, it has the vital chemical compound allicin, which is a wonderful therapeutic ingredient with many medicinal qualities. The allicin compound contains sulfur, which gives the garlic its pungent savor and peculiar smell. The health benefits of garlic are innumerable. It helps fight heart ailments, fight cold, cough, and lowers blood pressure.<br />
<br />
Garlic is the oldest known medicinal plant variety or spice in existence. Mankind recognized the curative qualities of this magic herb over 3,000 years ago. Sir Louis Pasteur, the scientist who discovered penicillin, effectively utilized the anti-bacterial qualities of garlic all the way back in 1858.<br />
<br />
World War I medical surgeons used the health benefits of garlic juice as an antiseptic for treating war wounds. Garlic contains useful minerals such as phosphorous, calcium and iron, as well as trace minerals like iodine, sulfur and chlorine, which are also present in the cloves. In terms of organic compounds, garlic is one of the rare sources of allicin, allisatin 1, and 2.<br />
<br />
<b>Eye Care: </b><br />
<br />
Garlic is rich in nutrients like Selenium, Quercetin and Vitamin C, all of which help treat eye infections and swelling.<br />
<b>Thanks English Info From : Organic Facts</b><br />
<b>http://goo.gl/01o1YZ</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
“กระเทียม” สมุนไพรมหัศจรรย์!! | Thaihealth.or.th<br />
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/9547<br />
กระเทียม - nutrilite<br />
http://www.nutrilite.co.th/nutrilite/healthinfo/heart04.html<br />
สรรพคุณของกระเทียม ประโยชน์ 47 ประการ : บ้านอะลาง<br />
http://alangcity.blogspot.com/2013/05/47.html<br />
Health Benefits of Garlic : Organic Fact<br />
http://www.organicfacts.net/health-benefits/herbs-and-spices/health-benefits-of-garlic.html<br />
Garlic Health Benefits : NaturalFoodBenefits<br />
http://www.naturalfoodbenefits.com/display.asp?CAT=2&ID=45<br />
กระเทียม - The-Than.com<br />
http://www.the-than.com/samonpai/sa_12.html<br />
Garlic / กระเทียม - Food Wiki | Food Network Solution<br />
http://goo.gl/h3yCM3<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-34120926440805788282013-11-11T11:28:00.000+07:002015-04-08T09:55:31.951+07:00ประโยชน์ด้านสุขภาพของเมล็ดทานตะวัน Health Benefits of sunflower seeds by LASIK HEALTHY EYES<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyPq75-zTPE21tgD6W1S2uiLQ_Yjbx01kWJdRYOAiluc8WxVeRmnsrBFFrtvvJfR3F9Zxh1FnkzTVJLK9cgLHycJt2chLXq4-v1ZRS5ubwuArZ-nx4wECzYcCP-q2yVC6icLX5YUT9LfeJ/s1600/11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyPq75-zTPE21tgD6W1S2uiLQ_Yjbx01kWJdRYOAiluc8WxVeRmnsrBFFrtvvJfR3F9Zxh1FnkzTVJLK9cgLHycJt2chLXq4-v1ZRS5ubwuArZ-nx4wECzYcCP-q2yVC6icLX5YUT9LfeJ/s320/11.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก care2.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ด้านสุขภาพของเมล็ดทานตะวัน</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits of sunflower seeds. </span></b></div>
<br />
<b>ทานตะวันแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ</b><br />
<br />
<b>1.ประเภทนำเมล็ดมาประกอบอาหาร</b> ในรูปของน้ำมันและแป้ง ทานตะวันประเภทนี้จะมีลักษณะเด่น คือ ลำต้นโตเดี่ยว และให้ดอกได้เพียงดอกเดียว ต่อ 1 ต้น ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ครึ่งฟุตหรือมากกว่านี้เล็กน้อย ลำต้นสูงประมาณ 2-3 เมตร ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์<br />
<br />
<b>2.ประเภทใช้เป็นไม้ประดับ</b> ทานตะวันประเภทนี้มีลำต้นเล็ก และมีแขนงแยกออกมาจากลำต้นใหญ่มีดอกเล็กๆ จำนวนมาก จึงทำให้เมล็ดทานตะวันประเภทนี้มีขนาดเล็ก<br />
<br />
<b>เมล็ดทานตะวัน (Sunflower seeds)</b> <u>อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา โรคตา เช่น โรคต้อกระจก วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา</u> ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น<br />
<br />
<b>เมล็ดดอกทานตะวัน</b> รับประทานวันละ 40-60 กรัม จะช่วยให้มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในปริมาณที่มากพอ เมล็ดดอกทานตะวันในปริมาณ 28 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ) ให้พลังงาน 163 แคลอรี กรดไลโนเลอิค 8 กรัม กรดไขมันชนิดอิ่มตัว 1 กรัม เส้นใย 6 กรัม วิตามินบี 1 0.4 มิลลิกรัม และ<b>วิตามินอี 11 มิลลิกรัม</b><br />
<br />
<b>เมล็ดทานตะวัน จัดเป็นอาหารสุขภาพชั้นดี มีวิตามินอี และกรดไขมันไลโนเลอิค </b><br />
<br />
ซึ่งมีประโยชน์มากในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง มีวิตามินอีช่วยป้องกันหัวใจวาย วิตามินอียังเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้อง กันมะเร็ง และโรคต้อกระจก<br />
<br />
<b>วิตามินอี</b> มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตา โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด จากการวิจัยพบว่า การขาดวิตามินอีทำให้จอรับภาพของดวงตาเสื่อมได้<br />
<br />
<b>กรดไลโนเลอิค หรือ วิตามินเอฟ</b> (กรดไขมันไม่อิ่มตัว) ช่วยลดระดับทั้งคอเลสเตอรอลรวม และคอเลสเตอรอลร้าย (LDL) อันเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแข็งตัวของเกล็ดเลือดอีกด้วย<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Sunflower seeds</b><br />
<br />
<b>Nutrients in Sunflower Seeds 0.25 cup (35.00 grams)</b><br />
- vitamin E 61.5%<br />
- vitamin B 134.6%<br />
- manganese 34%<br />
- copper 31.5%<br />
- tryptophan 31.2%<br />
- magnesium 28.4%<br />
- selenium 26.5%<br />
- vitamin B6 23.5%<br />
- phosphorus 23.1%<br />
- folate 19.8%<br />
- Calories (204) 11%<br />
<br />
<b>Health Benefits</b><br />
<br />
Looking for a health-promoting snack? A handful of sunflower seeds will take care of your hunger, while also enhancing your health by supplying significant amounts of vitamin E, magnesium and selenium.<br />
<b>Thanks English Info From : Sunflower seeds - The World's Healthiest Foods</b><br />
<b>http://goo.gl/yaCR0n</b><br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
<b>Mineral Content</b><br />
Raw sunflower seeds come packed with essential minerals, and serve as especially rich sources of copper, magnesium and manganese. All three minerals support your metabolism, helping you produce energy to fuel your active lifestyle. Magnesium also supports cell communication, copper nourishes your nervous system and manganese aids in bone development. All adults need 900 micrograms of copper each day, and women need 320 milligrams of magnesium and 1.8 milligrams of manganese, while men need 420 and 2.3 milligrams of magnesium and manganese, respectively. An ounce of raw sunflower seeds contributes 504 micrograms of copper, 91 milligrams of magnesium and 0.54 milligram of manganese toward your daily needs.<br />
<br />
<b>Vitamin Content</b><br />
Add raw sunflower seeds to your diet as a source of water-soluble B-complex vitamins, as well as vitamin E. The B vitamins work together to keep your metabolism healthy, and they also support other essential processes, including nervous system function and red blood vessel development. Raw sunflower seeds provide vitamins B-1, B-3 and B-9. Each ounce of raw seeds also contains 9.9 milligrams of vitamin E, or 66 percent of your recommended daily intake. Vitamin E offers antioxidant protection, which keeps your tissues free of damage, and also promotes healthy cell communication.<br />
<b>Thanks English Info From : The Nutritional Value of Raw Sunflower Seeds : livestrong</b><br />
<b>http://goo.gl/YcR6n4</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
"เมล็ดทานตะวัน"อาหารชั้นดี : สสส.<br />
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/13268<br />
อาหารบํารุงสายตา : Minebeauty คลับสำหรับผู้หญิง<br />
http://goo.gl/2JdCTj<br />
Sunflower seeds - The World's Healthiest Foods<br />
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=57<br />
ทานตะวัน สีแดง (ดอกสีแดง)<br />
http://www.mixedfarming.net/index.php?mo=3&art=42068508<br />
โภชนาการรักษาโรค เมล็ดทานตะวัน<br />
http://bewty-drink.blogspot.com/2012/05/blog-post_9983.html<br />
Health Benefits Sunflower Seeds Nutrition Facts and Culinary Uses : Hubpages<br />
http://janderson99.hubpages.com/hub/Health-Benefits-Sunflower-Seeds-Nutrition-Facts-and-Culinary-Uses<br />
Earl Mindell's Vitamin Bible<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-39951319041581676152013-11-11T11:23:00.001+07:002015-04-08T09:55:56.118+07:00ประโยชน์ของแตงโมช่วยบำรุงสายตา The benefits of watermelon nourish the eyes by LASIK HEALTHY EYES<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuV0TcgoyX5t3JSMsk3m2EOhH3JZLHnXy851xlfwoKi0saIBwKeVtA4X8dOwnYuZQDKnYRWuS7EuJuvDiQ2I7AAHJU4dRejguMsq6sGv7mFC2zYC8UBzsy_zX2nAPchfMD9yjL-kWbz6MV/s1600/13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuV0TcgoyX5t3JSMsk3m2EOhH3JZLHnXy851xlfwoKi0saIBwKeVtA4X8dOwnYuZQDKnYRWuS7EuJuvDiQ2I7AAHJU4dRejguMsq6sGv7mFC2zYC8UBzsy_zX2nAPchfMD9yjL-kWbz6MV/s320/13.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก wall.alphacoders.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของแตงโมช่วยบำรุงสายตา</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">The benefits of watermelon nourish the eyes .</span></b></div>
<br />
<b>แตงโม ภาษาอังกฤษ : Watermelon</b> ส่วน แตงโมชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrullus lanatus (Thunb.) Matsum. & Nakai สำหรับชื่ออื่นๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเรียกว่า “บักโม” ส่วนภาคเหนือจะเรียกว่า “บะเต้า” แต่ถ้าเป็นคนจังหวัดตรังแล้วจะเรียกกันว่า “แตงจีน” เป็นต้น<br />
<br />
<b>แตงโม</b>นั้นมีต้นกำเนิดในแถบทวีปแอฟริกาในทะเลทรายคาลาฮารี ซึ่งชาติที่แรกที่ปลูกแตงโมไว้รับประทานนั้นก็คือชาวอียิปต์ (สี่พันกว่าปีมาแล้ว) สำหรับประเทศไทยนั้นการปลูกแตงโมจะมีอยู่ทั่วทุกภาคและปลูกได้ทุกฤดู<br />
<br />
<b>แตงโม</b> จัดเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับ แคนตาลูป ฟักทอง แตงกวา ซึ่งนักพฤกษศาสตร์จัดให้อยู่ในวงศ์แตง (Family Cucurbitaceae) <u>เป็นผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณมากจึงมีคุณสมบัติเย็น รับประทานแล้วหวานชื่นใจ</u><br />
<br />
<b>สำหรับประโยชน์ของแตงโมเช่น</b> ช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง รักษาแผลในปาก เป็นต้น และยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกด้วยเพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น<br />
<br />
<b>แตงโม</b> <b>มีสารอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญอย่างมากนั่นก็คือ Citrulline (ซิทรูไลน์)</b> ซึ่งจะพบสารนี้ในเปลือกมากกว่าส่วนของเนื้อ ดังนั้นการรับประทานแตงโมที่มีส่วนเปลือกขาวๆติดมาด้วยก็จะเป็นประโยชน์ที่ดีมากกว่าที่จะกินแต่เนื้อสดๆ<br />
<br />
<u>สำหรับประโยชน์ของสารนี้ก็คือ จะช่วยขยายเส้นเลือด ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและยังเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนอีกด้วย เพราะมีแคลอรีต่ำมาก</u><br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะผ่าแตงโมรับประทานควรจะล้างเปลือกให้สะอาดเสียก่อนเพื่อป้องกันสารพิษตกค้างซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะแตงโมเป็นพืชที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากแมลงศัตรูพืชต่างๆ ชาวสวนจึงนิยมที่จะฉีดยาฆ่าแมลงเป็นปกติ<br />
<br />
แต่สำหรับผู้ที่มีกระเพาะ ม้ามไม่แข็งแรง กระเพาะลำไส้อักเสบ หญิงหลังคลอด หลังป่วยหนัก หรือผู้ที่มีอาการปัสสาวะมากและบ่อย มีอาการท้องร่วงง่าย ไม่ควรรับประทานแตงโม<br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการของผลแตงโมดิบ (ส่วนที่กินได้) ต่อ 100 กรัม</b><br />
<br />
- พลังงาน 30 kcal 130 kJ<br />
- คาร์โบไฮเดรต 7.55 กรัม<br />
- น้ำตาล 6.2 กรัม<br />
- เส้นใย 0.4 กรัม<br />
- ไขมัน 0.15 กรัม<br />
- โปรตีน 0.16 กรัม<br />
- วิตามินเอ 28 ไมโครกรัม 3%<br />
- วิตามินบี1 0.033 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินบี2 0.021 มิลลิกรัม 1%<br />
- วิตามินบี3 0.178 มิลลิกรัม 1%<br />
- วิตามินบี5 0.221 มิลลิกรัม 4%<br />
- วิตามินบี6 0.045 มิลลิกรัม 3%<br />
- กรดโฟลิก 3 ไมโครกรัม 1%<br />
- วิตามินซี 8.1 มิลลิกรัม 14%<br />
- ธาตุแคลเซียม 7 มิลลิกรัม 1%<br />
- ธาตุเหล็ก 0.24 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุโพแทสเซียม 112 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุสังกะสี 0.10 มิลลิกรัม 1%<br />
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของแตงโม</b><br />
<br />
<b>- มีวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสายตา</b> แก้ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้<br />
<br />
<b>- วิตามินเอในผลแตงโม มีส่วนช่วยล้างพิษจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปได้ด้วย</b> ใช้รับประทานเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มคลายร้อน ลดความร้อนในร่างกาย เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ต้องการลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักอย่างมาก เพราะมีแคลอรี่ต่ำ ประโยชน์แตงโมช่วยในการควบคุมน้ำหนักไม่ให้น้ำหนักเกิน ป้องกันการสะสมของไขมันที่เป็นอันตรายกับร่างกาย ลดปริมาณไขมันที่จับอยู่ภายในเลือด<br />
<br />
<b>- แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ</b> เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ <b>แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น</b> ในการรับประทานแตงโม ควรทานเนื้อของแตงโมด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานแต่มีประโยชน์มากมาย<br />
<br />
<b>- แตงโมช่วยลดความอ้วนได้</b> จากงานวิจัยต่างๆที่ตีพิมพ์ใน วารสารโภชนาการ ของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโม ที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาพลาญแคลอรี่ได้ โดยนักวิจัยได้ให้อาหารเสริม Arginine แก่หนูที่มีน้ำหนักเกินเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสามเดือน และพบว่ามันช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย ลูงได้ถึง 64 % ไม่เพียงแค่นั้น ยังช่วยให้เราอิ่มได้ไวขึ้นอีกด้วย<br />
<br />
<b>- ทานแตงโมแล้วคลายเครียด</b> แตงโมสามารถช่วยลดความตึงเครียดได้อีกด้วย เพราะโพแทสเซียมในแตงโม จะช่วยควบคุมความดันโลหิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีเย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย<br />
<br />
<b>- แตงโมช่วยทำให้ผิวพรรณดี</b> ให้เราเฉือนแตงโมให้เป็นชิ้นบางๆ พยายามใช้เนื้อที่อยู่วงในสุด (ถ้าใช้เนื้อแตงโมที่อยู่ใกล้เปลือกจะมีความเข้มข้นของกรด) พอได้สักประมาณ 10-15 ชิ้นแล้ว ให้เรานำมาวางที่ผ้าขาวบาง แล้วนำมาปิดลงที่ใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด<br />
<br />
<b>TIP</b><br />
<br />
<b>วิธีการเลือกซื้อแตงโม</b><br />
<br />
- ควรเลือกแตงโมที่ลักษณะ เปลือกผิวเรียบ ไม่เป็นรอยบุบ หรือช้ำ<br />
- ลองดีดแตงโมจะได้ยินเสียงที่แน่น แปลว่าเนื้อในกรอบ<br />
- สังเกตุที่ขั้วแตงโมจะไม่แห้งมากสีคล้ายคลึงกับผิวแตงโม<br />
- ถ้าเขาผ่าแตงโมให้ดู ควรเลือกที่มีสีแดงเป็นธรรมชาติไม่สดมาก เพราะถ้าสีแดงสดมากใช้สารเร่งสีเยอะ<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
Antioxidant carotenoids found in watermelon include significant amounts of beta-carotene. Like lycopene, the beta-carotene in watermelon also increases with ripening.<br />
<br />
Red-pink fleshed watermelons typically contain far more lycopene and beta-carotene than yellow-white fleshed varieties. For example, one study we've seen showed red watermelon to contain over 600 micrograms of beta-carotene per 3.5 ounces of melon and over 6,500 micrograms of lycopene. By comparison, yellow-fleshed varieties were found to contain only 5-10 micrograms of beta-carotene and no measurable amount of lycopene. In red/pink-fleshed watermelons as a group, we've seen lycopene amounts that vary widely in a range of approximately 2,000–6,700 micrograms per 3.5 ounces of fresh melon. Beta-carotene in these red/pink-fleshed varieties also varies widely, in a range of approximately 5–325 micrograms. Because watermelon contains so many different phytonutrients—as well as key vitamins and minerals, as well as dietary fiber—your health is going to be improved by any watermelon variety that you choose. However, if you specifically want to maximize your lycopene and beta-carotene intake, you'll most likely want to stick with red/pink-fleshed varieties of watermelon.<br />
Thanks English Info From : Watermelon - The World's Healthiest Foods<br />
http://goo.gl/6SdrUQ<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
Citrulline<br />
Citrulline is an amino acid, and within the body it changes over to arginine. A study reported in the Journal of Nutrition for the American Society for Nutritional Sciences states that arginine actually reverses the negative action of the cells (such as developing atherosclerosis) that is brought on by heart disease risk factors such as smoking, obesity, aging and high blood pressure.<br />
<br />
Vitamins A and C<br />
Watermelon is also an excellent source of vitamins A (beta-carotene) and C, both antioxidant vitamins. The National Cancer Institute reports that these antioxidants have been found in some studies to prevent cellular damage that can lead to cancer, but that more human studies must be done to confirm this. The institute does, however, recommend eating a diet rich with fruits that contain antioxidants, which would obviously include.<br />
<b>Thanks English Information From : livestrong</b><br />
<b>http://goo.gl/MgTnkv</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
วิตามินเอ : จากวิกิพีเดีย<br />
http://goo.gl/j71VfW<br />
แตงโม ผลไม้มีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด | สุขภาพไทย.com<br />
http://goo.gl/ldKSAe<br />
กรีนเนอรัลด์ เฮลท์<br />
http://goo.gl/uww5Ij<br />
Watermelon - The World's Healthiest Foods<br />
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=31#healthbenefits<br />
livestrong<br />
http://www.livestrong.com/article/17784-nutritional-value-watermelon/<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com<br />
<br />SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-71586844258401023402013-11-09T18:38:00.000+07:002015-04-08T09:57:16.786+07:00ประโยชน์ของผักหวานบ้าน Benefits of Sweet leaf Bush by LASIK HEALTHY EYES<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqDnNwgRXG-OUp4VtHbXkZRp1cCszycRLxKHBMKsCsuvjv4xjAPaSdGH-LkKzuJ5iQKTiApgi9bD-9Ohs40mW85gBOEIdhGOc9IKGUmM-SICvzOC1V52il9MGscu3bGoGOhB1ecOaSiPYR/s1600/8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqDnNwgRXG-OUp4VtHbXkZRp1cCszycRLxKHBMKsCsuvjv4xjAPaSdGH-LkKzuJ5iQKTiApgi9bD-9Ohs40mW85gBOEIdhGOc9IKGUmM-SICvzOC1V52il9MGscu3bGoGOhB1ecOaSiPYR/s320/8.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก kasetporpeang.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของผักหวานบ้าน (Sweet leaf Bush)</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Benefits of Sweet leaf Bush.</span></b></div>
<br />
ชื่อสมุนไพร ผักหวานบ้าน<br />
ชื่ออื่นๆ ผักหวานใต้ใบ (สตูล) มะยมป่า (ประจวบคีรีขันธ์) ก้านตง ใต้ใบใหญ่ จ๊าผักหวาน ผักหลน (เหนือ)<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sauropus androgynus (L.) Merr.<br />
ชื่อพ้อง Sauropus albicans Bl.<br />
ชื่อวงศ์ Euphorbiaceae<br />
ชื่อสามัญ Star Gooseberry, <b>Sweet leaf Bush</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0e_VLvL91KRUBOeuKQtZfXqLxX6ATaN_O2D8RSrUkyGp2AHhdRVf-DQ0PfzO7reinHYojEaLJ-4tKP-3hUtRz110EwgrNKXpjuhxKjeHAU5-heTVhrI_htKnR5ljAtHxkIOCzvWhIZLkZ/s1600/9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0e_VLvL91KRUBOeuKQtZfXqLxX6ATaN_O2D8RSrUkyGp2AHhdRVf-DQ0PfzO7reinHYojEaLJ-4tKP-3hUtRz110EwgrNKXpjuhxKjeHAU5-heTVhrI_htKnR5ljAtHxkIOCzvWhIZLkZ/s320/9.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก foodnetworksolution.com</span></div>
<br />
<b>ผักหวาน</b> เป็นผักที่ใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นพืชสมุนไพร มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินซี (vitamin C)<u> <b>เบตา-แคโรทีน</b>ซึ่งช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา</u> และมีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงและ มีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2JNEh9eVkjaoVx4VscQ6glsy5OP6Hd5RCST-bEFZXdYsxG9aH_jJun4L2MDTTJGaIr79dYg5uVesURdzI6IAVtwmAGJB2e162tvT8TobEKrWCX-XJ6ZQ_44Y7xxe1kwoKhJYuL4ndIVeR/s1600/10.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2JNEh9eVkjaoVx4VscQ6glsy5OP6Hd5RCST-bEFZXdYsxG9aH_jJun4L2MDTTJGaIr79dYg5uVesURdzI6IAVtwmAGJB2e162tvT8TobEKrWCX-XJ6ZQ_44Y7xxe1kwoKhJYuL4ndIVeR/s320/10.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก phargarden.com</span></div>
<br />
<b>ผักหวานมี 2 ประเภท ดังนี้</b><br />
<br />
<b>1.</b> <b>ผักหวานบ้าน (EUPHORBIACEAE:Sauropus abicans) </b>ลักษณะเป็นไม้พุ่มต้นเล็ก ต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ใบคล้ายใบมะยม แต่มีนวลขาว บนหน้าใบ ดอกเล็กเป็น ช่อสีแดง ขาว ผลขนาดเล็ก มีสีเขียวอ่อน จานรองผลมีสีแดงเข้มติดห้อยย้อยตามกิ่งใต้ผักหวานบ้านเป็นพืชที่ปลูกง่ายนิยมใช้ต้นอ่อนมาปลูกในสวน ตามพื้นที่ลุ่มต่ำ ริมรั้วบ้านหรือที่ใกล้แหล่งน้ำ<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง : </b><u>การรับประทานผักหวานไม่ควรรับประทานสดๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากผักหวานบ้านมีสารอัลคาลอยด์ปาปาเวอรีน (papaverine) ซึ่งเป็นพิษต่อปอด และมีรายงานผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เนื้อเยื่อปอดถูกทำลายชนิด bronchiolitis obliterans (SABO) syndrome จากการกินผักหวานเป็นจำนวนมากเพื่อต้องการลดน้ำหนัก</u><br />
<br />
<b>2. ผักหวานป่า (OPILLACEAE :Melientha suavis)</b> เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่ขึ้นเองตามป่าราบ มีทุกภาคในประเทศไทย ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อมถึงขนาดกลางใบใหญ่ยาวคล้ายใบมะตูมผิวขาวนวล ผลกลม ขนาดเล็ก สีแดง ใบอ่อน ใช้รับประทานได้ เช่น ใบผักหวานบ้าน แต่รสหวานดี และมีราคาแพงกว่าผักหวานบ้าน<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง : </b><u>การบริโภคผักหวานป่าควรปรุงให้สุกเสียก่อน เนื่องจากการบริโภคสดๆ ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการเบื่อเมา เป็นไข้ และอาเจียนได้</u><br />
<br />
<u>การเก็บใบผักหวานป่าไปรับประทาน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีต้นไม้ อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า "ต้นเสน" เป็นไม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับต้นผักหวานมาก ลำต้นออกมีสีหม่นๆ และใบหนากว่ากันเล็กน้อย ใบต้นเสนถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน คอแห้ง อ่อนเพลีย หมดสติ ถ้ากำลังน้อย อาจตายได้</u><br />
<br />
<b><span style="color: #ea9999;">ข้อควรระวังในการบริโภคผักหวานป่า</span> </b><br />
<br />
<u>การบริโภคผักหวานป่าควรปรุงให้สุกเสียก่อน เนื่องจากการบริโภคสดๆ ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการเบื่อเมา เป็นไข้ และอาเจียนได้</u><br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการของผักหวาน</b><br />
<br />
<b>ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของผักหวานทั้ง 2 ชนิดคล้ายคลึงกัน</b> จัดเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินซี<u> เบตา-แคโรทีนซึ่งช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา</u> เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และมีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย<br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการ</b><br />
<b><br /></b>
นอกจากนี้ จากรายงานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (กองโภชนาการ 2535) มีการศึกษาคุณค่าทางอาหารของใบ และยอดผักหวานพบว่าใบและยอดผักหวาน 100 กรัม มีทั้งไขมัน ,คาร์โบไฮเดรต , เส้นใย, โปรตีน, วิตามินบี, วิตามินบี 2, วิตามินซี, แคลเซี่ยม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส,ไนอาซีน (วิตามินบี 3) <u>และยังมีวิตามินเอ ที่มีประโยชน์กับสายตาสูงถึง 20.503 หน่วยสากล วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกายในด้านการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)</u><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> <br />
ยอดและใบสดที่รับประทานได้ 100 กรัม ให้พลังงาน 300 กิโลจูล (KJ) ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญคือ<br />
<br />
- น้ำ 76.6 กรัม<br />
- โปรตีน 8.2 กรัม<br />
- คาร์โบไฮเดรต 10 กรัม<br />
- ใยอาหาร 3.4 กรัม<br />
- เถ้า 1.8 กรัม<br />
- เบตา-แคโรทีน 1.6 มิลลิกรัม<br />
- วิตามินซี (vitamin C) 115 มิลลิกรัม<br />
<br />
<b>ประโยชน์ในการประกอบอาหาร</b><br />
<br />
ส่วนของ<b>ผักหวานบ้าน (Sweet leaf Bush)</b> ที่นำมาใช้ทานเป็นผัก ก็คือ <b>ใบและยอดอ่อน</b> โดยใช้เป็นผักจิ้ม ซึ่งนิยมลวกให้สุกเสียก่อน หรือนำไปแกง เช่น แกงเลียง หรือแกงจืด นอกจากนั้นยังนำไปผัด เช่น ผัดน้ำมันหอย เป็นต้น น่าสังเกตว่า ชนิดอาหารที่ปรุงจากผักหวานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผักจิ้ม แกงเลียง แกงจืด หรือผัดน้ำมันหอย ล้วนแล้วแต่มีเครื่องปรุงแต่งน้อย เพราะรสชาติของผักหวานบ้าน มีรสชาติดีกว่าผักทั่วไป คนไทยปัจจุบันไม่ค่อยได้กรับประทานผักหวานบ้านเหมือนในอดีต เพราะในตลาดไม่ค่อยพบผักหวานบ้านวางขาย ทั้งที่รสชาติของผักหวานบ้านนั้นดีกว่าผักส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาดปัจจุบัน โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่ชอบอาหารรสจัดน่าจะชอบผักหวานบ้านเป็นพิเศษ<br />
<br />
<b>ผักหวานบ้าน ตรงใบและยอดอ่อน</b> <b>จะมีวิตามินเอมากเป็นพิเศษ</b> คือใน ๑๐๐ กรัม มี<a href="http://www.laservisionthai.com/th/lasikhealthcorner/vitamin.html" target="_blank">วิตามินเอ</a>อยู่สูงถึง ๑๖,๕๙๐ หน่วยสากล (IU) <u>วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกายในด้านการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)</u><br />
<br />
<b>ผักหวาน</b> ที่เป็นไม้ยืนต้นในจำนวนไม่มากนักที่มีวิตามินเคอยู่ด้วย ซึ่งวิตามินเคนี้มีสรรพคุณในการช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลเลือดออก ช่วยให้ตับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานร่วมกับวิตามินดีในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกและเนื้อเยื่อไต<br />
<br />
โดยทั่วไปแล้วประมาณร้อยละ ๕๐ ของวิตามินเคได้มาจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรียในลำไส้ และหากรับประทานอาหารอย่างสมดุล ร่างกายก็จะได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพออยู่แล้ว ส่วนที่เหลือได้จากอาหารที่มีวิตามินเค ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม ผักกาดหอม กะหล่ำปลี ผักหวานบ้าน ตับ นมและผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น<br />
<div>
<br /></div>
<u>อย่างไรก็ตาม ทั้งวิตามินซีและเบตา-แคโรทีน ซึ่งมีอยู่ในผักหวานและแครอทอาจถูกทำลายไปบ้างจากความร้อนในการต้ม ดั้งนั้น เพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ จึงไม่ควรใช้เวลาในการต้มผักนานเกินไปและควรรับประทานทันทีหลังปรุงเสร็จใหม่ๆ</u><br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
<b>ใบผักหวานเมา มีลักษณะคล้าย ใบผักหวานมาก</b> <b>ลักษณะแตกต่างที่เห็นชัด คือ</b><br />
<b>1. ลักษณะช่อดอกของผักหวาน</b>ซึ่งเป็นดอกแยกเพศ และเป็นช่อดอกคล้ายช่อแยกแขนง<br />
<b>2. ส่วนผักหวานเมา</b>นั้นเป็นดอกสมบูรณ์เพศ และช่อดอกกระจะ<br />
<br />
<b>หากพบในช่วงที่ไม่มีช่อดอกนั้นสามารถแยกความแตกต่างที่ลักษณะใบได้ดังนี้ </b><br />
<b>1. ผักหวานมีปลายใบมน</b>หรือแหลมและแผ่นใบกว้างกว่า<br />
<b>2. ส่วนผักหวานเมานั้นมีปลายใบเรียวแหลม</b>และแผ่นใบแคบกว่า<br />
<br />
<b>สรุปได้ว่าผักหวานที่สามารถรับประทานได้มีสามชนิด คือ</b><br />
- ผักหวานมักเรียกกันว่าผักหวานป่า<br />
- ผักหวานบ้านซึ่งพบได้ทั่วไป และ<br />
- ผักหวานป่าหรือผักพูมซึ่งพบเฉพาะในภาคใต้เท่านั้น<br />
<br />
<b>ส่วนผักหวานที่มีความเป็นพิษนั้นคือ </b>ผักหวานเมาหรือผักแหวน ซึ่งมีลักษณะคล้ายผักหวานมากแต่สามารถแยกความแตกต่างได้ดังแสดงไว้ในตารางสรุป<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-4fJ31tt4TJik23mVOEpyIvOrln5GvlkiJ8e-rAGd-E937gOJe3RHlwW3fzK4uyxBU1sCPIneU2r1KzFGkFtUAHyJhAL_hOW5xvVup1HLrIb6Ck-dtvjvjsgnPMaVgnQREBr4I5V8ObAi/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599+0145-3+www.pharmacy.mahidol.ac.th.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-4fJ31tt4TJik23mVOEpyIvOrln5GvlkiJ8e-rAGd-E937gOJe3RHlwW3fzK4uyxBU1sCPIneU2r1KzFGkFtUAHyJhAL_hOW5xvVup1HLrIb6Ck-dtvjvjsgnPMaVgnQREBr4I5V8ObAi/s640/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599+0145-3+www.pharmacy.mahidol.ac.th.gif" height="294" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
ขอบคุณภาพประกอบจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</div>
<br />
แหล่งข้อมูล/ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
ผักหวาน : Food Network Solution<br />
http://goo.gl/RhQggB<br />
ผักหวานบ้าน - ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.อุบล<br />
http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=77<br />
ผักหวาน (Star Gooseberry) - FoodTravel<br />
http://www.foodtravel.tv/recingradientshow_detail.aspx?viewId=275<br />
แกงจืดผักหวาน | ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน<br />
http://www.doctor.or.th/article/detail/11228<br />
ข้อควรระวังคือใบผักหวานเมามีลักษณะคล้ายใบผักหวานมาก<br />
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล<br />
ศาสตาจารย์ ดร.วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล<br />
<a href="http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=145" target="_blank">http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=145</a><br />
ผักหวานบ้าน ปลอดสารพิษ : hm-garden<br />
http://goo.gl/KiS4bb<br />
Sweet Leaf Bush ~ Survival Food - Herbs are Special<br />
http://herbsarespecial.com.au/isabells_blog/sweet-leaf-bush-survival-food.html<br />
ผักหวานบ้าน - The-Than.com<br />
http://www.the-than.com/samonpai/P/46.html<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-12514951526296147642013-11-07T16:23:00.000+07:002015-04-08T09:57:35.344+07:00ประโยชน์ของผักกาดขาวปลี Health Benefits of Chinese Cabbage by LASIK HEALTHY EYES<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS5xXHqa0uFj1bY2pbejmWtiNHuezYA2X_x96bqnnawNAC73LVhXBFQGRAKvVHGTb1KRo8KFodvRBDDbwkPShhQes24-odgwSIjgCzWb4yW7R20_wG_ZTMzEDdkoMjJtDfudJTQD2eEC1O/s1600/7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS5xXHqa0uFj1bY2pbejmWtiNHuezYA2X_x96bqnnawNAC73LVhXBFQGRAKvVHGTb1KRo8KFodvRBDDbwkPShhQes24-odgwSIjgCzWb4yW7R20_wG_ZTMzEDdkoMjJtDfudJTQD2eEC1O/s320/7.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก parkseed.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของผักกาดขาวปลี</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits of Chinese Cabbage</span></b></div>
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica pekinensis<br />
ชื่อสามัญ Chinese Cabbage<br />
วงศ์ Cruciferae<br />
ชื่ออื่นๆ ผักกาดขาวปลี แปะฉ่าย แปะฉ่ายลุ้ย<br />
<br />
<b>คุณค่าทางอาหาร</b><br />
<br />
<b>ผักกาดขาว</b>มีสารอาหารต่าง ๆ ค่อนข้างครบ เช่น โปรตีน ไขมัน น้ำตาล ที่สำคัญคือ ผักกาดขาวมีแคลเซี่ยมและวิตามินซีในปริมาณสูง ซึ่งแคลเซี่ยมนอกจากจะมีหน้าที่เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ปัจจุบันยังพบว่า แคลเซี่ยมมีบทบาทในการลดความดันโลหิตสูง และป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย ส่วนวิตามินซีจะมีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันมะเร็ง และกำจัดสารพิษและโลหะหนักให้แก่ร่างกาย<br />
<br />
<b>สารสำคัญที่พบ</b><br />
<br />
ในหัวผักกาดขาวสดส่วนที่ใช้เป็นอาหารได้ 100 กรัม<br />
- มีน้ำ 91.7 กรัม<br />
- โปรตีน 0.6 กรัม<br />
- คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม<br />
- ความร้อน 250,000 แคลอรี่<br />
- เส้นใยหยาบ 0.8 กรัม<br />
- ash (เถ้า) 0.8 กรัม<br />
- คาโรทีน (Carotene) 0.02 มก.<br />
- วิตามินบีหนึ่ง 0.02 มก.<br />
- วิตามินบีสอง 0.04 มก.<br />
- กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) 0.5 มก.<br />
- วิตามินซี 30 มก.<br />
- แคลเซียม 49 มก.<br />
- ฟอสฟอรัส 34 มก.<br />
- ธาตุเหล็ก 0.5 มก.<br />
- โปแตสเซียม 196 มก.<br />
- ซิลิกอน 0.024 มก.<br />
- แมงกานีส 1.26 มก.<br />
- สังกะสี 3.21 มก.<br />
- โมลิบดีนัม 0.125 มก.<br />
- โบรอน 2.07 มก.<br />
- ทองแดง 0.21 มก. นอกจากนี้ยังมี<br />
- กลูโคส (Glucose)<br />
- ซูโครส (Sucross)<br />
- Fructose Coumaric acid,Ferulic acid, Gentisic acid, Phenylpyruvic acid และกรดอะมิโนหลายชนิด<br />
<br />
<b>เมล็ด มีไขมัน</b> เช่น Erucic acid, Linolenic acid และ Glycerol sinapate เป็นต้น <b>น้ำมันหอมระเหยที่สำคัญคือ Methyl mercaptan นอกจากนี้ยังมีสารที่ยับยั้งแบคทีเรีย คือ Raphanin</b><br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
<br />
<b>ผักกาดขาวยังเป็นผักที่ให้เส้นใย (dietary fiber) สูงมากชนิดหนึ่ง</b><br />
<br />
ก่อนอื่นเรามารู้จักเส้นใยอาหารกันเสียก่อน เส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ แต่จะพองตัวเมื่อมีน้ำ มีความสามารถในการอุ้มน้ำ เพิ่มความหนืด ไม่ถูกย่อย ดูดซับและแลกเปลี่ยนประจุได้จึงป้องกันการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น จะกำจัด<b>อนุมูลอิสระ </b><br />
<br />
<b>การอุ้มน้ำได้ดีของเส้นใย</b> จึงเพิ่มปริมาตรกากอาหาร กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ทำให้กากอาหารอ่อนนุ่ม ถ่ายสะดวก ตำรายาจีนที่แก้ท้องผูกจะเอาผักกาดขาวล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วผัดกับน้ำมันเกือบสุก จึงเติมซีอิ๊ว น้ำตาลทรายขาว น้ำส้ม น้ำและแป้งสาลีคั่วต่อไปจนสุกดี รับประทานแก้ท้องผูก แต่ถ้าเป็นตำรับแก้ท้องผูกไทย ๆ ก็รับประทานแกงส้มผักกาดขาว ได้เส้นใยจากผักกาดขาว และได้น้ำมะขามจากแกงส้มช่วยในการระบาย<br />
<br />
การที่เส้นใยสามารถกำจัดอนุมูลอิสระ และช่วยดึงเอาสารพิษที่อาจปนเปื้อนเข้าไปกับอาหาร ร่วมกับการที่เส้นใยสามารถลดความหมักหมมของกากอาหารในลำไส้ จึงทำให้เส้นใยลดอุบัติการณ์การเป็นมะเร็งในลำไส้ สรรพคุณในการป้องกันมะเร็งในลำไส้<br />
<br />
แม้ยังไม่ทราบขนาดที่แน่นอน แต่สหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ชายวัยสูงอายุบริโภคเส้นใยอาหาร 18 กรัมต่อวัน ในวันหนุ่มสาวต้องเพิ่มเป็น 20-25 กรัมต่อวัน การรับประทานเส้นใยอาหารมากกว่านี้ไม่ได้ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง แต่จะช่วยในแง่สุขภาพด้านอื่น เช่น ช่วยลดอาการท้องผูก เป็นต้น ดังนั้นการรับประทานผักกาดขาวเป็นประจำจะช่วยในการขับถ่าย และป้องกันมะเร็งในลำไส้ได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
ผักกาดขาวเป็นผักสามัญ ที่มีคุณค่าทางอาหารมากมาย เช่น ผักกาดขาวอุดมไปด้วย โฟเลต ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก ถ้าแม่ได้รับโฟเลตน้อยเกินไป การสร้างระบบประสาทและ DNA ของทารกอาจผิดปรกติได้ นอกจากนี้โฟเลตยังช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงอีกด้วย ผักกาดขาวมีสรรพคุณหลายด้านทั้งช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้พิษสุรา ส่วนเส้นใยอาหารที่มีอยู่มากในผักกาดขาวยังช่วยให้ผู้ที่ท้องผูกบ่อยๆผ่อนหนักเป็นเบาได้<br />
<br />
<b>หัวผักกาดขาว:</b> มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเย็น (เป็นหยิน) ช่วยย่อย แก้ไอมีเสมหะ ไม่มีเสียง อาเจียนเป็นโลหิต ท้องเสีย<br />
<b>เมล็ด: </b>มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเป็นกลาง แก้ไอมีเสมหะ และหืด ช่วยให้ย่อย ท้องเสีย<br />
<b>ใบ:</b> มีรสเผ็ดขม คุณสมบัติเป็นกลาง ช่วยย่อย เจ็บคอ ท้องเสีย ขับน้ำนม<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
<b>ผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง</b> คือ มีอาการท้องอืด แน่น เป็นประจำ กินอาหารแล้วไม่ค่อยย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ไม่ควรกิน แต่ถ้ามีอาการท้องอืด แน่น ชั่วคราวเนื่องจากกินอาหารที่ย่อยยาก หรือกินมากเกินไป<br />
<br />
<b>หัวผักกาดขาวมี Mustard oil ซึ่งมีรสเผ็ด</b> เมื่อสารนี้รวมกับเอนไซม์ในหัวผักกาดขาว มีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหว ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น และยังช่วยย่อยอาหารอีกด้วย ดังนั้นหลังกินอาหารจำพวกเนื้อหรือของมันๆ ควรกินหัวผักกาดขาวสักเล็กน้อย<br />
<br />
<b>เนื่องจาก Amylase ในหัวผักกาดขาวไม่ทนต่อความร้อน จะถูกทำลาย</b> ณ อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นอกจากนี้วิตามินซีก็ไม่ทนต่อความร้อนสูง ดังนั้นจึงควรกินหัวผักกาดขาวดิบๆ<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
Chinese cabbage is an excellent source of vitamin C It is also a good source of Vitamin A. It helps in the improvement of vision and proper growth of teeth. It has a very low calorie content. Chinese cabbage also contains many minerals and it is rich in calcium and potassium. It is a good source of sulfur and as we know Sulfur is one of the elements that increase body heat, so people with cold feet might want to include cabbage in their diet. It is a good source of beta-carotene which is known for its antioxidant properties and helps reduce the risks of many cancer. It helps in regulating blood pressure level.<br />
Thanks English Info From : Chinese Cabbage Benefits<br />
http://www.saviodsilva.net/chinese-cabbage-benefits.htm<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :-<br />
<br />
Composition of Chinese cabbage<br />
<br />
In 100 g Chinese cabbage are contained 1.5 g protein, 13 calories, 1 g fiber, 0.2 g fat and 2.2 g of carbohydrates.<br />
<br />
Chinese cabbage is rich in vitamin A, B and C and the minerals calcium, potassium, iron, phosphorous and magnesium. It contains beta-carotene and vitamin K<<br />
Benefits of Chinese cabbage<br />
<br />
Chinese cabbage is a diet vegetable and is very useful in cardiovascular disease. It removes fever and inflammation, infections and sore throats. Regular consumption helps to improve digestion and urination.<br />
<br />
It is believed that Chinese cabbage activates the brain and strengthens the kidneys. Helps with coughs and infections of the eyes, and regular consumption of cabbage prevents cancer.<br />
<br />
Chinese cabbage can be used for stomach ulcers, vitamin deficiency, anemia and increase immunity. Chinese doctors believe that it purifies the blood and helps n an active and fulfilling lifestyle.<br />
<br />
Chinese cabbage is great, especially healthy addition to any diet. It contains very few calories - only 9 in a bowl.<br />
<br />
Dangers of Chinese cabbage<br />
<br />
Chinese cabbage contains glucosinolates. In small amounts, they are useful, but in large doses- toxic. Milder symptoms of consumption of cabbage may include nausea and dizziness, digestive problems in people who have a weak stomach. Sometimes the side effects of consuming cabbage with improper preparation are unpleasant.<br />
Thanks English Info From : Chinese Cabbage : cook13.com<br />
http://cook13.com/n7-31900-Chinese_Cabbage<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
ผักกาดขาว - The-Than.com<br />
http://www.the-than.com/samonpai/P/41.html<br />
http://www.the-than.com/samonpai/P/41.html<br />
Chinese Cabbage : cook13.com<br />
http://cook13.com/n7-31900-Chinese_Cabbage<br />
Chinese Cabbage Benefits<br />
http://www.saviodsilva.net/chinese-cabbage-benefits.htm<br />
Dr. Decuypere's Nutrient Charts : Vegetables Chart<br />
http://www.health-alternatives.com/vegetables-nutrition-chart.html<br />
Sight-savers - We list the foods that can keep your eyes healthy : DailyMail<br />
http://www.dailymail.co.uk/health/article-1167487/Sight-savers--We-list-foods-eyes-healthy.html<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-48978298116723540582013-11-01T11:35:00.000+07:002015-04-08T10:39:57.959+07:00ประโยชน์ทางโภชนาการของกล้วยไข่ Nutritional benefits of Pisang Mas Banana or Golden Banana by LASIK HEALTHY EYE<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJl1CYcb1tVO9Yyr83wpaupD3Zulq8aiLZVKSsBz1WJrfSZwxP7dNtHk0_mEOhysImyNX8PJ5NY6JgwbP1pn7KnXgm-AlZXorlrDVzUcDPqgqAJ124Hee3aafQQaVXCbAJxydiwoINxpY/s1600/6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJl1CYcb1tVO9Yyr83wpaupD3Zulq8aiLZVKSsBz1WJrfSZwxP7dNtHk0_mEOhysImyNX8PJ5NY6JgwbP1pn7KnXgm-AlZXorlrDVzUcDPqgqAJ124Hee3aafQQaVXCbAJxydiwoINxpY/s320/6.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก flickriver.com</span><br />
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ทางโภชนาการของกล้วยไข่</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Nutritional benefits of Pisang Mas Banana or Golden Banana</span></b></div>
<br />
<b>กล้วยไข่ (Pisang Mas Banana : Golden Banana)</b><br />
<br />
<b>กล้วยไข่</b> เป็นชื่อของผลไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลกล้วย (Musaceae) โดยมีชื่อสามัญว่า Pisang Mas กล้วยชนิดนี้สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทยถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถนำรายได้เข้าประเทศได้<br />
<br />
<b>กล้วยไข่มี 2 สายพันธุ์ </b>คือ กล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร และกล้วยไข่สายพันธุ์พระตระบอง สำหรับพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดเพื่อเป็นการค้าคือ สายพันธุ์กำแพงเพชร<br />
<br />
<b>1. กล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร</b> ผิวเปลือกผลบาง ผลมีขนาดเล็ก เนื้อมีสีเหลืองรสชาติหวานอร่อย<br />
<br />
<b>2.กล้วยไข่สายพันธุ์พระตะบอง</b> รสชาติจะออกหวานอมเปรี้ยว และผลมีขนาดใหญ่กว่ากล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร<br />
<br />
<b>สำหรับกล้วยไข่ ซึ่งจังหวัดกำแพงเพชรเป็นแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็นผลไม้คู่กับเทศกาลสารทไทยด้วย </b><br />
<br />
จากงานวิจัยของสำนักโภชนาการกรมอนามัย พบว่ามีประโยชน์สูง โดยมี<b>วิตามินอี เบต้าแคโรทีน</b> และ<b>วิตามีนซี</b> ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตา<b>ต้อกระจก</b>ได้<br />
<br />
<b>ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ 1 ผล</b> ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 40 กรัม มีเบต้าแคโรทีน 108 ไมโครกรัม มีวิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม และให้พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่<br />
<br />
<b>วิธีทานกล้วยไข่</b> แนะนำให้ทานกล้วยไข่แทนข้าวได้ 2 ผล เด็กกินได้ 1-2 ผล จะต้องลดปริมาณข้าวลง เพราะกล้วยไข่ 2 ผลเท่ากับข้าว 1 ทัพพี หากแปรรูปทำเป็นกล้วยไข่อบแห้ง จะต้องไม่ใส่น้ำตาล หากนำไปทอดให้ระวังเรื่องน้ำมัน ส่วนการเชื่อมต้องระวังเรื่องความหวาน โดยเด็กสามารถกินกล้วยฉาบแทนขนมกรุบกรอบได้ เพราะมีประโยชน์มากกว่า<br />
<br />
<b>คุณประโยชน์ของกล้วยไข่ : </b><br />
<br />
<b>กล้วยไข่ 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีนมากที่สุดถึง 492 ไมโครกรัม</b> ขณะที่กล้วยน้ำว้ามีเพียง9 ไมโครกรัม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งสารนี้สามารถช่วยชะลอริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าของเราได้ดี และยังสามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์ ที่สำคัญยังมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งและ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้ายได้<br />
<br />
อีกทั้ง<b>กล้วยไข่</b>ยังมีสารอาหารที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเช่น เกลือแร่ วิตามินเอ บี2 บี6 และวิตามินซี ซึ่งไม่เฉพาะแต่ผลกล้วยเท่านั้น<br />
<br />
<b>ในหัวปลี </b>ยังมีแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระดูกและเนื้อเยื่ออย่างมาก<br />
<br />
อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้อย่างดี เพราะเนื้อกล้วยไข่มีไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำสูง แต่กล้วยไข่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตอยู่พอสมควร จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก นอกจากรับประทานผลสดแล้วยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นขนมได้อีกด้วย เช่น กล้วยไข่เชื่อมข้าวเม่าทอดกล้วยไข่ บวชชีกล้วยไข่ ก็รสชาติอร่อยไม่แพ้กันเลย วันนี้จึงอยากแนะนำเพื่อนๆ หันมารับประทานกล้วยไข่กันมากๆ เพื่อสุขภาพ<br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :-</b><br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการ</b><br />
<br />
เป็นไม้ผลเขตร้อน ผลสุกนอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้แล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารคาวหวาน และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาหารแปรรูปชนิดต่างๆ ได้อีกหลายชนิด ใบตองสดสามารถนำไปใช้ห่อของ ทำงานประดิษฐ์ ศิลปะต่างๆ ใบตองแห้งใช้ทำกระทงใส่อาหาร และใช้ห่อผลไม้ ก้านใบและกาบกล้วยแห้งใช้ทำเชือก หัวปลีหรือดอกกล้วยน้ำว้า ยังใช้รับประทานแทนผักได้ดีอีกด้วย<br />
<br />
<b>ประโยชน์ต่อสุขภาพ</b><br />
<br />
กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษในเรื่องของสาร ต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือเกิน 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็เริ่มมาเยือน ช่วงนี้เอง มี 2 สิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในร่างกายเราซึ่งก็คือ เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ก็จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น และส่วนที่สองคือ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ก็ลดลง <b>ในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม</b><br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :- </b><br />
<br />
<b>กล้วยไข่ (Pisang Mas Banana) ประกอบด้วยสารอาหารดังนี้</b><br />
<br />
- วิตามินเอ ( Total VitaminA (RE) 82 Ug / 100 G<br />
- เบต้า เคโรทีน ( Betacarotene ) 492 Ug / 100 G<br />
- วิตามินอี ( VitaminE)<br />
- วิตามินบี 1 ( Thiamin ) .03 Mg / 100 G<br />
- วิตามินบี 2 ( Riboflavin ) .05 Mg / 100 G<br />
- ไนอะซิน ( Niacin ) 1.4 Mg / 100 G<br />
- วิตามินซี ( VitaminC ) 2 Mg / 100 G<br />
- พลังงาน ( Energy ) 147 KCAL / 100 G<br />
- น้ำ ( Water ) 62.8 G / 100 G<br />
- โปรตีน ( Protein ) 1.5 G / 100 G<br />
- ไขมัน ( Fat ) .2 G / 100 G<br />
- คาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate ) 34.8 G / 100 G<br />
- ใยอาหาร( กาก ) ( Crude/ Dietar ) 1.9 G / 100 G<br />
- เถ้า ( Ash ) .7 G / 100 G<br />
- แคลเซียม ( Calcium ) 4 Mg / 100 G<br />
- ฟอสฟอรัส ( Phosporus ) 23 Mg / 100 G<br />
- ธาตุเหล็ก ( Iron ) 1 Mg / 100 G<br />
- มีวิตามินเอสูง (RETINOL) ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)<br />
<br />
**วิตามินเอ RETINOL เป็นวิตามินที่อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A) หรือเรียกว่า Retinol**<br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :-</b><br />
<br />
<b>Health Benefits of Banana</b><br />
<br />
Nutritional facts: Bananas contain three natural sugars - sucrose, fructose and glucose - combined with fiber. A banana gives an instant, sustained and substantial boost of energy. There are 86 calories in a medium banana<br />
<br />
<b>Medicinal & Health Benefits of Banana:</b><br />
<br />
Banana is an effective fruit for health benefits. The mixture of carbohydrates and vitamins present in banana helps an energy increase. The natural fiber in banana also gives to the many health benefits. Here are some important benefits of banana.<br />
<br />
Vitamins and Minerals: Banana is high in Vitamin A which is important for development of tissue in eyes and growth of the skin. Vitamin B is also present which help in calming the nervous system.<br />
<br />
Eye sight: Prolonged use of banana in daily life can restore the eyesight in person suffering from eye sight problem. It acts as a very good medicine and ensures better eyesight<br />
<b>Thanks English Info From : Saviodsilva : Banana Benefits, Health Benefits of Banana</b><br />
<b>http://buff.ly/1cs71yD</b><br />
<br />
<b>Bananas</b><br />
<br />
Bananas are elliptically shaped fruits "prepackaged" by Nature, featuring a firm, creamy flesh gift-wrapped inside a thick inedible peel. The banana plant grows 10 to 26 feet in height and belongs to the family Musaceae. Banana fruits grow in clusters of 50 to 150, with individual fruits grouped in bunches, known as "hands," of 10 to 25 bananas.<br />
<br />
Bananas abound in hundreds of edible varieties that fall under two distinct species: the sweet banana (Musa sapienta, Musa nana) and the plantain banana (Musa paradisiacal). Sweet bananas vary in size and color.<br />
<br />
While we are accustomed to thinking of sweet bananas as having yellow skins, they can also feature red, pink, purple and black tones when ripe. Their flavor and texture range with some varieties being sweet while others have starchier characteristics. In the United States, the most familiar varieties are Big Michael, Martinique and Cavendish. Plantain bananas are usually cooked and considered more like a vegetable due to their starchier qualities; they have a higher beta-carotene concentration than most sweet bananas.<br />
<b>Bananas - The World's Healthiest Foods</b><br />
<b>http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=7</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
กล้วยไข่ จากวิกิพีเดีย<br />
http://buff.ly/1aMZGug<br />
ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข<br />
สสส.http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/situations/31078<br />
กินกล้วยเพื่อสุขภาพ : สสส.<br />
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/13019<br />
คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพของกล้วยไข่ - องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร<br />
http://www.mof.or.th/web/agriculture.php?id=64&cat=25<br />
คุณประโยชน์ของกล้วยไข่ - ห้องข่าว<br />
http://www.talaadthai.com/main/newspage.aspx?id=237<br />
สารอาหารในกล้วยไข่ : Vitamin.co.th<br />
http://buff.ly/1cs74dC<br />
เรื่องกล้วยๆ : มูลนิธิหมอชาวบ้าน<br />
http://www.doctor.or.th/article/detail/3678<br />
Banana Benefits, Health Benefits of Banana<br />
http://buff.ly/1cs71yD<br />
Bananas - The World's Healthiest Foods<br />
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=7<br />
วิตามินเอ (RETINOL)<br />
https://sites.google.com/site/vitaminforhealth/home/fat-soluble-vitamins/retinol<br />
Vitamin A กลุ่มเรตินอล (Retinol) : clinicneo<br />
http://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=7&col_id=252<br />
**Vitamin : student chula**<br />
http://www.student.chula.ac.th/~53370714/Knowledge.html#via<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com<br />
<br />LASIK HEALTHY EYEShttp://www.blogger.com/profile/11965598156760133119noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-86762342761893555742013-10-30T12:18:00.002+07:002015-04-08T10:42:17.677+07:00ประโยชน์หลากหลายของลูกพรุน Various Benefits of Prunes by LASIK HEALTHY EYE<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCpyFCrImJHXRGW2jN3CzVyqlzt_8r84FmMcNX7w3OuoG0kuxpE14eSfyBjA1dXG6ckj7_cdhWg9JfcSN1QeUlGhVPS1vM6VbKzUBZgK2PZ69cgklSEFyvd036Jg0cFlKB87ZOLcvTSzVB/s1600/5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCpyFCrImJHXRGW2jN3CzVyqlzt_8r84FmMcNX7w3OuoG0kuxpE14eSfyBjA1dXG6ckj7_cdhWg9JfcSN1QeUlGhVPS1vM6VbKzUBZgK2PZ69cgklSEFyvd036Jg0cFlKB87ZOLcvTSzVB/s320/5.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก : topsten.com</span><br />
<b><span style="font-size: large;">หลากประโยชน์ของลูกพรุน (Prunes)</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Various Benefits of Prunes</span></b></div>
<br />
<b>ลูกพรุน (Prunes)</b><br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> <b style="text-align: center;">(Prunes)<span style="font-size: large;"> </span></b>คือ ผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้จักและนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือลักษณะที่นำมารับประทานมีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำลูกพรุน และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ในปัจจุบันประเทศทางแถบเอเชียให้ความสนใจลูกพรุนมากขึ้นเนื่องจากคุณค่าทางอาหารและประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานลูกพรุน และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มาจากลูกพรุน<br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Prunus domestica วงศ์ Rosaceae ต้นกำเนิดอยู่ในจีน ญี่ปุ่น อเมริกา และขึ้นได้ดีในอีกหลายประเทศ มีหลายสายพันธุ์ แต่หาซื้อได้ง่าย จะเป็นลูกพรุนสีแดงดำ เมื่อแห้งแล้วจะออกดำ รสชาติอมเปรี้ยวหอมหวานน่ารับประทาน<br />
<br />
<b>สรรพคุณของลูกพรุนมีหลายประการดังนี้</b><br />
<br />
<b>- ช่วยบำรุงตา</b>เนื่องจากมี<br />
<b>1.วิตามินอี</b> บำรุงตาในส่วนของจอรับภาพหรือ จอประสาทตา ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก นอกจากนี้ยังมี<br />
<b>2.วิตามินบี 2</b> ที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทที่เลี้ยงลูกตา ช่วยเสริมประสิทธิภาพการมองเห็น และรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา และ<br />
<b>3.วิตามินเอ</b> ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน (Night Blindness) เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น และช่วยรักษาโรคตาได้หลายโรคด้วย (ช่วยสร้างเม็ดสีที่มีคุณสมบัติไวต่อแสงในตา เป็นต้น<br />
<b>- ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ</b>เนื่องจากลูกพรุนมีวิตามินอีและแร่ธาตุที่ช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อยามเครียด<br />
<b>- ช่วยลดการอักเสบเจ็บปวดต่างๆ</b><br />
<b>- ช่วยลดปวดประจำเดือน</b>ได้เนื่องจากลูกพรุนมีแมกนีเซียมที่ช่วยคุมฮอร์โมนให้ปกติและช่วยบรรเทาอาการปวดได้แต่ต้องรับประทานก่อนปวดประจำเดือนประมาณ 1-2 วัน ฯลฯ<br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> อุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง อีกทั้งลูกพรุนยังช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย<br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> ช่วยบำรุงเลือดและช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยเฉพาะผู้ป่วยโลหิตจาง และสตรีมีครรภ์ เนื่องจากลูกพรุนมีธาตุเหล็ก แคลเซียมและวิตามินบี 2 ซึ่งธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงนั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่ขาดไม่ได้<br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> มีส่วนช่วยในเรื่องกระดูก เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าลูกพรุนมีส่วนช่วยให้กระดูกผุช้าลง จากการตรวจเลือดของสตรีที่รับประทานลูกพรุนแห้งวันละ 1 ขีดติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่ามีการสร้างกระดูกมากขึ้นได้อย่างชัดเจน<br />
<br />
<b>ลูกพรุน</b> ให้ประโยชน์ที่เด่นมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วยชะลอความแก่เนื่องจากมีวิตามินซี และ วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระโดยจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
และในส่วนของวิตามินอีนั้น ก็ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร โดยกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกาได้เปรียบเทียบผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่จากมากไปหาน้อยพบว่า ลูกพรุนแห้ง จะช่วยชะลอความแก่ได้ดีที่สุดโดยสูงกว่า ลูกเกด บลูเบอรี่ ส้ม เกรปฟรุต แอปเปิ้ล ลูกแพร์ เป็นต้น<br />
<br />
<b>สรุปสารอาหารที่สำคัญในลูกพรุน คือ</b><br />
<br />
- ไฟเบอร์ (Fiber)<br />
- โปแตสเซียม (Potassium)<br />
- สารต้นอนุมูลอิสระ (Antioxidants)<br />
- คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates)<br />
- วิตามินซี (Vitamin C)<br />
- วิตามินเอ (Vitamin A)<br />
- วิตามินบี 6 (Vitamin B6)<br />
- ธาตะเหล็ก (Iron)<br />
- เพคติน (Pectin)<br />
- สารอาหารอื่นๆ (Other Nutrients)<br />
และยังมีสารอหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่พบ ได้ในลูกพรุน คือ แร่ธาตุ ต่างๆ เช่น ทองแดง (copper) , แคลเซียม (calcium) ฟอสฟอรัส และ แมกนีเซียม (phosphorus and magnesium) เช่นเดียวกับ วิตามิน ต่างๆ เช่น วิตามินบี 1 (thiamine) , วิตามินบี 2 (riboflavin) , โฟเลต (folate) , วิตามินบี 3 (niacin) , วิตามินบี 5 (panthotenic acid) และ วิตามินบีรวม (vitamin b complex)<br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :</b><br />
<br />
Dried plums are often called prunes. This fruit may be dehydrated in an oven or in the sun, and they resemble large, black raisins. The leathery skin and moist flesh provide nutritional benefits. Consult your physician before eating dried plums to correct medical issues.<br />
<br />
<b>Vitamin A</b><br />
<br />
Consume a serving of dried plums, and you take in 27 percent of the daily recommended intake of vitamin A. This makes dried plums a good choice for eye health – vitamin A fosters good nighttime vision and protects the cornea. The vitamin A in this fruit is also helpful for the immune system in general. Research featured in a 2011 issue of “Vitamins and Hormones” reports that vitamin A may help trigger cell death in potentially dangerous cells.<br />
<b>Thanks English Info From : livestrong</b><br />
<b>http://www.livestrong.com/article/420197-what-are-the-benefits-of-dried-plums/?utm_source=livestrong_opar&utm_medium=3&LS-2659</b><br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :</b><br />
<br />
<b>Health Benefits of Prunes</b><br />
<br />
Prunes are plums that have been dehydrated to preserve its nutrients longer. There are several health benefits of prunes, which provide excellent sources of fiber, vitamins and minerals and likewise help in the improvement of general well being.<br />
<br />
Prunes are dried plums which are basically sweet, chewy, sticky and highly nutritious especially if it has no preservatives. Plums are dehydrated for the purpose preserving all its nutrients at a much longer time. There are therefore numerous health benefits of prunes.<br />
<b>Thanks English Information From : WEB-CLINIC.ORG</b><br />
<b>http://www.web-clinic.org/Benefits-Of-Prunes.html</b><br />
<div>
<br /></div>
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
บทความรายการวิทยาศาสตร์เพื่อประชาชน : สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=5477<br />
Prunes : The World's Healthiest Foods<br />
http://www.whfoods.com/genpage.php?tname=foodspice&dbid=103<br />
Prune From Wikipedia<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Prune#Health_effects<br />
What Are The Benefits Of Dried Plums? : livestrong<br />
http://www.livestrong.com/article/420197-what-are-the-benefits-of-dried-plums/?utm_source=livestrong_opar&utm_medium=3&LS-2659<br />
ข้อควรระวัง : สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=5477<br />
สารอาหารที่สำคัญในลูกพรุน : Web Clinic<br />
http://www.web-clinic.org/Benefits-Of-Prunes.html<br />
Vitamin Bible by Dr. Earl Mindell R.PH., M.PH., PH.D<br />
ข้อควรระวัง : giffarinethailand<br />
http://www.giffarinethailand.com/th/interesting_info.php?nid=103<br />
มารู้จักลูกพรุนกันเถอะ : มีคำตอบ - กูรู<br />
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=032466abe2e883ef<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-49190464595151435192013-10-27T11:25:00.001+07:002015-04-08T10:42:48.614+07:00ประโยชน์ของลูกพลับญี่ปุ่น Health Benefits Japanese Persimmon by LASIK HEALTHY EYE<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_6nhFjeX5aSunX2WZjcrfSHQZhGhKSxftbP2I0g71ajYNTyK7XxA9xP0NilP2Ktc_Gasu4KM_GETdMRm3qV0V8sJV5d-ZL4zFc4fzwDg2SmrhUi3BWsxrOub6-FSECvuzZvchDPQ6CVSH/s1600/4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_6nhFjeX5aSunX2WZjcrfSHQZhGhKSxftbP2I0g71ajYNTyK7XxA9xP0NilP2Ktc_Gasu4KM_GETdMRm3qV0V8sJV5d-ZL4zFc4fzwDg2SmrhUi3BWsxrOub6-FSECvuzZvchDPQ6CVSH/s320/4.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก Persimmon_Kaki_Fruit thai.alibaba.com</span><br />
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของลูกพลับญี่ปุ่น </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits Japanese Persimmon</span></b></div>
<br />
<b>ลูกพลับ (Persimmon)</b><br />
<br />
<b>พลับ</b> <b>หรือ ลูกพลับ</b> ชื่อวิยาศาสตร์<span style="white-space: pre;"> </span>Diospyros kaki L. ชื่อวงศ์ EBENACEAE ชื่อเรียกอื่น <b>Kaki</b>, Japonese persimmon, Persimmon, Chinese date plum<br />
<br />
- ลักษณะ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ไม้ต้น ผลัดใบ สูงได้ถึง ๑๐ เมตร ใบสีเขียวเข้มรูปหัวใจ ดอกคล้ายระฆัง ขนาด ๒ - ๒.๕ ซม. สีขาวถึงเหลือง ผลรูปร่างคล้ายลูกเต๋า ขนาดประมาณ ๕ ซม. มีกลีบเลี้ยงติดคงทน เมื่อสุกมีสีเหลืองอมส้ม<br />
- การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน<br />
- ประโยชน์ เป็นผลไม้รับประทานได้ มีรสชาติหวาน<br />
(แหล่งข้อมูล หนังสือพรรณไม้ในโครงการหลวงอ่างขาง)<br />
<br />
<b>ลูกพลับ สามารถจำแนกตามรสชาติได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ </b><br />
<br />
<b>- ลูกพลับหวาน</b> เช่น พันธุ์ฟูยุ (รสหวาน ผลสุกสีส้มอมเหลือง สามารถรับประทานสดๆได้)<br />
<b>- ลูกพลับฝาด</b> เช่น พันธุ์ซิชู พันธุ์ฮาชิยา (รสฝาด เนื้อนิ่ม ผลสุกเนื้อสีส้มอมแดง ต้องนำมาผ่านกระบวนการลดความฝาดก่อนถึงจะรับประทานได้)<br />
<br />
<b>พลับ (Persimmon) หรือ ลูกพลับ</b> เป็นผลไม้สีเหลืองถึงแดง เป็นพืชในสกุล Diospyros ซึ่งมีอยู่หลายสปีชีส์ด้วยกัน สปีชีส์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมากที่สุดคือ D.kaki ญี่ปุ่นเรียกว่าคาขิ ถิ่นกำเนิดอยู่ในภาคเหนือของจีน มีการรับประทานพลับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นและถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า ต่อมาได้กระจายพันธุ์เข้าไปในญี่ปุ่น และกลายเป็นผลไม้ยอดนิยม พลับพันธุ์ที่นิยมปลูกในยุโรปเป็นสปีชีส์ D. virginia ซึ่งนำพันธุ์มาจากสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
<b>ลูกพลับ </b>สปีชี่ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมากที่สุด ก็คือ สปีชีส์ Diospyros kaki (ญี่ปุ่นจะเรียกว่า “คาขิ”) หรือ พลับจีน (D.KAKI) มีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือของจีนและนิยมปลูกในญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศไทย<br />
<br />
<b>ประโยชน์ทางโภชนาการของลูกพลับ</b><br />
<br />
- ลูกพลับ มีคุณสมบัติพิเศษคือมีฤทธิ์เย็น<br />
- <u>ลูกพลับ อุดมด้วยวิตามินเอและวิตามินซี กินได้ทั้งแบบสดและตากแห้ง ประโยชน์ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันต้อกระจก ตาฟาง</u><br />
- ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีและไขมันต่ำ และยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก<br />
- ลูกพลับมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ฯลฯ<br />
<br />
สำหรับชาวจีนแล้วผลไม้อย่างลูกพลับเป็นที่นิมยมในการรับประทานอย่างมาก และถือว่าลูกพลับเป็นผลไม้มงคลที่แสดงถึงความมั่งมีศรีสุข เนื่องจากเปลือกของลูกพลับเมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองทองราวกับทองคำ จึงเปรียบได้ดั่งผลไม้จากสรวงสวรรค์นั่นเอง และลูกพลับยังเป็นที่นิยมนำมาเป็นของขวัญตามเทศกาลต่างๆอีกด้วย <u>นอกจากนี้การรับประทานลูกพลับวันละ 1 ผลจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก</u><br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลับ (สายพันธุ์ D.kaki) ต่อ 100 กรัม</b><br />
<br />
- พลังงาน 293 กิโลแคลอรีลูกพลับ<br />
- คาร์โบไฮเดรต 18.59 กรัม<br />
- น้ำตาล 12.53 กรัม<br />
- เส้นใย 3.6 กรัม<br />
- ไขมัน 0.19 กรัม<br />
- โปรตีน 0.58 กรัม<br />
- วิตามินเอ 81 ไมโครกรัม 10%<br />
- เบต้าแคโรทีน 253 ไมโครกรัม 2%<br />
- ลูทีน และ ซีแซนทีน 834 ไมโครกรัม<br />
- วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม 3%<br />
- วิตามินบี2 0.02 มิลลิกรัม 2%<br />
- วิตามินบี3 0.1 มิลลิกรัม 1%<br />
- วิตามินบี6 0.1 มิลลิกรัม 8%<br />
- วิตามินบี9 8 ไมโครกรัม 2%<br />
- โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%พลับ<br />
- วิตามินซี 7.5 มิลลิกรัม 9%<br />
- วิตามินอี 7.5 มิลลิกรัม 5%<br />
- วิตามินเค 2.6 ไมโครกรัม 2%<br />
- ธาตุแคลเซียม 8 มิลลิกรัม 1%<br />
- ธาตุเหล็ก 0.15 มิลลิกรัม 1%<br />
- ธาตุแมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุแมงกานีส 0.355 มิลลิกรัม 17%<br />
- ธาตุฟอสฟอรัส 17 มิลลิกรัม 2%<br />
- ธาตุโพแทสเซียม 161 มิลลิกรัม 3%<br />
- ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%<br />
- ธาตุสังกะสี 0.11 มิลลิกรัม 1%<br />
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่<br />
(ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)<br />
<br />
<b>Nutrition Information On Japanese Persimmon.</b><br />
<br />
<b>Basic Nutrient Values</b><br />
<br />
According to the California Department of Public Health, one medium-sized Japanese persimmon provides 118 calories, 0 g of fat, 1 g of protein, 31 g of carbohydrates, 6 g of dietary fiber and 2 mg of sodium. This fruit is rich in vitamins A and C. One fruit provides 2,733 International Units, or 55 percent, of the recommended daily value (DV) for vitamin A and 12.8 mg, or 21 percent, of the DV for vitamin C. Japanese persimmons are also high in manganese, a trace mineral, meeting 30 percent of the DV in one whole fruit.<br />
<br />
<b>Vitamins A and C</b><br />
<br />
Vitamin A is important for healthy eyesight and support of the immune system. It also promotes normal reproductive function and is needed for manufacturing cells that line the digestive tract. Vitamin C also supports immune system function, according to the Colorado State University Extension. Both vitamins A and C are antioxidants. Antioxidants protect and repair the body's cells from damage caused by free radicals, which are by-products created when our cells use oxygen. Vitamin C helps with the production of collagen, which acts like "cement" to hold together ligaments and tendons. Finally, Vitamin C is essential for healthy gums, aids in wound healing and enhances iron absorption."<br />
<b>Thanks English Info From : livestrong : Michele Turcotte, MS, RD </b><br />
<b>http://buff.ly/1aopydF</b><br />
<br />
<b>ข้อมูลอ้างอิง/แหล่งข้อมูล</b><br />
<br />
พลับ (Persimmon) Kaki : th.wikipedia.org<br />
http://buff.ly/1aool6g<br />
คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลับ (สายพันธุ์ D.kaki) : greenerald<br />
http://buff.ly/1aootTd<br />
Kaki fruit - Botanical<br />
http://www.botanical-online.com/english/kakifruit.htm<br />
VITAMINS A AND C : livestrong<br />
http://buff.ly/1aopydF<br />
BGO Plant Database, The Botanical Garden Organization<br />
http://buff.ly/16BIatu<br />
Special Precautions & Warnings : webmd<br />
http://buff.ly/HoAbEm<br />
Persimmon From : Wikipedia<br />
http://buff.ly/16BKRvj<br />
ขอบคุณภาพประกอบจาก Persimmon_Kaki_Fruit thai.alibaba.com<br />
<br />
<b>คำแนะนำ :</b> สำหรับผู้ที่มีอาการไข้ หรือเป็นหวัด ถ่ายบ่อย หรือม้ามและกระเพาะไม่ค่อยแข็งแรงไม่ควรรับประทานลูกพลับ และสำหรับลูกพลับหวานควรระวังสารโซเดียมไซคลาเมต (Sodium Cyclamate) และสารซัคคาริน (Saccharin)<br />
<br />
<b>แหล่งอ้างอิง :</b> หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, นิดดา หงษ์วิวัฒน์), หนังสือสมุนไพร 91 ชนิดพิชิตโรค ชุดตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)<br />
<br />
<b>Special Precautions & Warnings:</b><br />
<b><br /></b>
Pregnancy and breast-feeding: Not enough is known about the use of Japanese persimmon during pregnancy and breast-feeding. Stay on the safe side and avoid use.<br />
<br />
Low blood pressure: Japanese persimmon might lower blood pressure. There is some concern that it might make low blood pressure worse or interfere with treatment intended to raise low blood pressure.<br />
<br />
Surgery: Japanese persimmon might lower blood pressure. Some surgeons worry that Japanese persimmon might interfere with blood pressure control during and after surgery. Stop using Japanese persimmon at least 2 weeks before a scheduled surgery.<br />
<b>Thanks Information From : webmd</b><br />
<b>http://buff.ly/HoAbEm</b><br />
<b><br /></b>
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com<br />
<b><br /></b>SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-16709171372330884502013-10-23T09:52:00.003+07:002015-04-08T10:44:04.560+07:00องุ่นช่วยบำรุงสายตา Grapes nourish the eyes by LASIK HEALTHY EYE<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieTAEVm4_FaJTuU9ZVSh8L_2DAFeb_3P9M4yRamafksY_1XUBeJfxOpjqGEuj8H0VQyZDGukB_UyKVftxI_ejj6geljTh5jfKpEnS37hOjQP-nhnAmfJqZ1Z5C1VeDmkCKIqyhPiFJQt6L/s1600/3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieTAEVm4_FaJTuU9ZVSh8L_2DAFeb_3P9M4yRamafksY_1XUBeJfxOpjqGEuj8H0VQyZDGukB_UyKVftxI_ejj6geljTh5jfKpEnS37hOjQP-nhnAmfJqZ1Z5C1VeDmkCKIqyhPiFJQt6L/s320/3.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก www.picstopin.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">องุ่นช่วยบำรุงสายตา </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Grapes nourish the eyes .</span></b></div>
<br />
<b>องุ่น (Grape) </b>ประกอบด้วย<b>สารลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) </b>ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม คาร์โรตีนอยด์สองประเภทที่สำคัญต่อการรักษาสุขภาพดวงตาเมื่ออายุมากขึ้น<br />
<br />
<b>องุ่น (Grape) </b>อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิเดนท์) องุ่นทุกสีล้วนเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งสารในกลุ่ม โพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ และเป็นแหล่งของสารเรสเวอราทรอล สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นสารตามธรรมชาติในการป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์<br />
<br />
<b>สารเรสเวอราทรอล </b>ในองุ่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มหัศจรรย์ องุ่นเป็นแหล่งอาหารหลักที่มี สารไฟโตนิวเทรียนท์ยนท์ อยู่มากที่สุด ส่วนสารเรสเวอราทรอล จะอยู่ที่ผิวองุ่นและพบในองุ่นทั้งสามสี เรสเวอราทรอล การศึกษาจำนวนมากจัดให้สารเรสเวอราทรอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพหลากหลายตั้งแต่ลดความเสี่ยงมะเร็งและอัลไซเมอร์<br />
<br />
<b>สารเรสเวอราทรอลในผลองุ่น</b><br />
<b>Resveratrol in grape</b><br />
<br />
<b>เรสเวอราทรอล (Resveratrol)</b> เป็นสารไฟโทอะเลกวินที่พืชสร้างขึ้นในภาวะเครียด ทั้งที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิต เพื่อทำหน้าที่เป็นสารป้องกันตัวเอง เรสเวอราทรอลเป็นสารธรรมชาติในพืชที่มีประโยชน์แก่สุขภาพของมนุษย์ จึงได้รับความสนใจมากเพราะสารนี้ช่วยป้องกันโรคของมนุษย์ได้หลายชนิด<br />
<br />
ในองุ่นมีปริมาณสารเรสเวอราทรอลมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ องุ่นแดงมีปริมาณสารเรสเวอราทรอลมากกว่าองุ่นเขียว เปลือกผลและเมล็ดมีปริมาณสารเรสเวอราทรอลมากกว่าในเนื้อองุ่นหลายเท่า<br />
<br />
เรสเวอราทรอล มีสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลเสรีที่มีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับสารอื่น ๆ ที่มีสมบัติเป็นตัวต้านออกซิเดชัน (antioxidant) เช่น <b>วิตามินเอ</b> วิตามินซี <b>วิตามินอี</b><br />
<br />
<br />
<b>วิตามินเอ</b> เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกายในด้านการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)<br />
<br />
<b>วิตามินอี</b> มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตา โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด จากการวิจัยพบว่า การขาดวิตามินอีทำให้จอรับภาพของดวงตาเสื่อมได้<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง :<br />
องุ่นบำรุงสายตา : Grapes from California<br />
http://buff.ly/1aF5mmD<br />
สารเรสเวอราทรอลในผลองุ่น : สายชล เกตุษา<br />
วารสารราชบัณฑิตยสถาน<br />
http://buff.ly/1aegZE3<br />
เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เขียนโดย Greenclinic<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
http://buff.ly/1aej8jd<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-82903131793272525542013-10-18T12:30:00.001+07:002015-04-08T10:44:28.845+07:00ผักบุ้งบำรุงสายตา Health Benefits of Morning Glory<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibfrgMgebP1YX0cAFUI27WI49UVtKvUEJk6_0-bK2NHL6EkvAuB-D9POrZF4R5br7td3tgji4QyLLzPQlc19ux8txjMbIqJI0tAGiLwMz7LhyphenhyphenyX-_qLuMhJSciNDZ9R2xVcE3nPiBUwKq0/s1600/1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibfrgMgebP1YX0cAFUI27WI49UVtKvUEJk6_0-bK2NHL6EkvAuB-D9POrZF4R5br7td3tgji4QyLLzPQlc19ux8txjMbIqJI0tAGiLwMz7LhyphenhyphenyX-_qLuMhJSciNDZ9R2xVcE3nPiBUwKq0/s320/1.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก blog.seasonwithspice.com</span></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ผักบุ้งบำรุงสายตา</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Health Benefits of Morning Glory</span></b></div>
<br />
<b>ผักบุ้ง (Morning Glory)</b> มีสารที่สามารถเปลี่ยนไปเป็น<b>วิตามิน A</b> ที่เรียกว่า <b>เบต้า - แคโรทีน</b>มาก และวิตามิน A นี้เองที่เป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงให้ตาเป็นประกาย<br />
<br />
และยัง<b>ช่วยแก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืน</b>ได้ ช่วยให้<b>หายแสบตาจากอาการตาแห้ง</b> และ<b>ลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตามากๆ</b> และผักบุ้งไมได้มีแต่วิตามิน A เท่านั้น ยังมีวิตามิน C อีกด้วย แต่ถ้าต้องการได้รับวิตามิน C จากผักบุ้ง ต้องทานเป็นผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า - แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย<br />
<br />
นอกจากนี้ในผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด อีกทั้งแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก รวมถึงมีเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย และในผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินที่สามารถลดน้ำตาลในกระแสเลือดสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของผักบุ้งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ผักบุ้งเป็นหนึ่งในตำรายาไทย คือถือเป็นยาเย็นแก้ถอนพิษเมื่อมีอาการเมาอีกด้วย<br />
<br />
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ<br />
สสส.http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/18469<br />
ขอบคุณภาพประกอบจาก blog.seasonwithspice.com<br />
<br />
<br />
<b>"ผักบุ้ง" (Morning Glory)</b> <u>บำรุงสายตา อุดมวิตามินเอ-เบต้าแคโรทีนสูง แก้ตาฟาง ลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเป็นเวลานาน และช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง"</u><br />
<br />
<b>Morning Glory</b><br />
<br />
Antioxident-rich vegetables should be part of any healthy eating plan and they are also full of vitamins, dietary fiber and minerals. Regularly eating vegetables can reduce your risk of macular degeneration, obesity and certain cancers, Harvard University School of Public Health notes. Morning glory is a stir fried Thai classic containing garlic, oyster sauce and the green leafy vegetable morning glory. People that regularly consume green leafy vegetables have a significantly lower risk of developing type 2 diabetes, ScienceDaily reports<br />
Thanks Eng. Info : livestrong.com<br />
http://buff.ly/1bO5oeS<br />
<br />
SPECIAL TIPS FOR YOU<br />
<br />
<b>Vegetable Stir Fry Recipe</b><br />
<br />
<b>Thai-Style Stir-Fry Vegetables</b><br />
<br />
This vegetable recipe is simple and straightforward. Reduce the oil if you prefer, but the oil adds a more substantial flavor. Water helps to cook the vegetables. A little sugar is also a nice addition, off-setting the saltiness of the sauces.<br />
<br />
<b>Ingredients</b><br />
<br />
- Approx. 2 cups of cut up green vegetables (i.e. water spinach, Chinese cabbage, broccoli, etc. cut 1 1/2 by 1 1/2 inch pieces)<br />
- 2-3 cloves of garlic (, smashed with the side of a cleaver or knife<br />
- 3 tblsp canola or other vegetable oil<br />
- 1 tblsp of fish sauce (Golden Boy brand is preferred)<br />
(For Vegetarian : fish sauce is usually substituted by a Light (thin) Soy Sauce. )<br />
- 2 tblsp of Thai soy sauce (Healthy Boy brand is preferred)<br />
- 2 tblsp of Thai oyster sauce or yellow bean sauce<br />
( For Vegetarian : Oyster sauce is usually substituted by a Soy Sauce with Mushroom from Healthy Boy Brand.)<br />
- 1/3 tsp sugar<br />
- 1/4 cup water<br />
<br />
<b>Preparation</b><br />
<br />
Heat oil until hot, over medium-high heat (not smoking though). Add the garlic (For Vegetarian : Garlic instead with sesame roasted.). Immediately, add the cut up vegetables. Cook, stirring constantly until cooked slightly, approximately 2 minutes, depending on the vegetable.<br />
Add fish sauce, soy sauce, and oyster sauce. Add water and sugar.<br />
Continue to stir fry until the vegetable is cooked through. Approximately another 1 to 1 1/2 minutes, so the vegetable is still somewhat firm. Remove from heat.<br />
Serves 2-4.<br />
Thanks Recipe Info From : Temple of Thai<br />
http://buff.ly/1bOcFvc<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.comSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-76482066200382639932013-10-13T14:35:00.000+07:002015-04-08T10:45:20.096+07:00ประโยชน์ทางโภชนาการของเกรปฟรุต Nutritional Benefits of Grapefruits<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzVPuhhNjZXG14BmqZuKcxFt1Jb33n_o_FtkNEVdoEkbpD2ix9iLBcDhIcDMkqPURC46DR6nh-zAMVT0zJvmgks5l7xxZnJBE6t4cKpR5Qpb-QyOjQzRVBfHU_jd1FZ0To_Ihu-Sk8EySm/s1600/grabefruits.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzVPuhhNjZXG14BmqZuKcxFt1Jb33n_o_FtkNEVdoEkbpD2ix9iLBcDhIcDMkqPURC46DR6nh-zAMVT0zJvmgks5l7xxZnJBE6t4cKpR5Qpb-QyOjQzRVBfHU_jd1FZ0To_Ihu-Sk8EySm/s320/grabefruits.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="text-align: start;"><span style="font-size: x-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก : texasweet.com</span></span><br />
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ทางโภชนาการของเกรปฟรุต</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Nutritional Benefits of Grapefruits fruit.</span></b></div>
<br />
<b>เกรปฟรุต (Grapefruits)</b><br />
<br />
<b>เกรปฟรุต (Grapefruits)</b> เป็นไม้ผลกึ่งเขตร้อนในสกุล Citrus ที่เพาะปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผล ซึ่งแต่เดิมเคยเรียกว่า ผลไม้ต้องห้ามแห่งบาร์เบโดส<br />
<br />
<b>เกรปฟรุต</b> ภาษาอังกฤษ Grapefruit เป็นผลไม้กึ่งเขตร้อนที่<b>จัดอยู่ในสกุลส้ม (Citrus)</b> เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจัด มีรสฝาดปนๆนิดๆ<br />
<br />
ปกติแล้วไม้ไม่ผลัดใบชนิดนี้จะพบว่าสูงประมาณ 5-6 เมตร แต่ความจริงแล้วสามารถสูงได้ถึง 13-15 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม รูปร่างยาว (มากกว่า 15 เซนติเมตร) และผอม ดอกมี 4 กลีบ สีขาว ขนาด 5 เซนติเมตร ผลมีเปลือกสีเหลือง รูปกลมแป้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 เซนติเมตร เนื้อผลแบ่งเป็นกลีบ สีเหลืองแบบกรด<br />
<br />
ผลเป็นที่นิยมตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านั้นเพียงแต่ปลูกเป็นไม้ประดับ สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ มีสวนอยู่ในฟลอริดา เท็กซัส แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย ในภาษาสเปน ผลไม้ชนิดนี้รู้จักในชื่อว่า Toronja หรือ Pomelo<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของเกรปฟรุต</b><br />
<br />
<b>เกรปฟรุต (Grapefruits) </b>เป็นผลไม้ตระกูลส้ม มีวิตามินซี ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดและนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย<br />
<br />
สารต่อต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุต มีประสิทธิภาพในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล<br />
การดื่มน้ำเกรปฟรุตจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้า เมื่อยล้า<br />
<br />
<b>คำเตือน :</b> การรับประทานหรือดื่มน้ำเกรปฟรุตร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยารักษามะเร็ง ยาลดระดับคอเลสเตอรอล ยาลดความเลือด ยาที่ใช้เพื่อกดระบบภูมิต้านทาน เป็นต้น (สถาบันวิจัยสุขภาพลอว์สันจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ระบุว่ายาที่มีผลข้างเคียงต่อเกรปฟรุต มีตัวยามากกว่า 43 ชนิด) อาจส่งผลให้เกิดอาการ Overdose หรือ ปริมาณยาที่มากเกินไปได้<br />
<br />
เนื่องจากน้ำผลไม้ดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้ตัวยาที่รับประทานเข้าไปไม่แตกตัวในลำไส้และตับ ซึ่งหมายความว่าจะมีปริมาณยาจำนวนมากที่ไม่ถูกดูดซึมผ่านระบบการย่อยอาหารที่สะสมในเลือด เกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ดังนั้นหากคุณกำลังรับประทานยาอะไรอยู่ก็ตาม ก่อนการรับประทานเกรปฟรุตคุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน<br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม :</b><br />
<br />
<b>ผลไม้ตระกูลส้ม</b> วิตามินซีที่พบได้ในผักและผล เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวาน นั้น สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดและนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย<br />
<br />
ผลไม้ในตระกูลส้มมีอีกมากมาย เช่น เกรปฟรุต ส้มโอ (Pummelos) เนื้อสีขาว เนื้อสีแดงหรือเนื้อสีชมพู ส้มเกลี้ยง ส้มเขียวหวาน ส้มโชกุน ส้มแก้ว มะกรูด (Aegle marmelos) มะขวิด (Feronia limonia) เป็นต้น<br />
<br />
<b>Benefits of Eating Grapefruit</b><br />
<br />
Grapefruit is not only a refreshing way to start your day, it is a nutrient-dense food. An entire medium grapefruit has a minimal 40 calories, while offering lots of antioxidants and other nutrients that protect your body. Opt for whole grapefruit, rather than grapefruit juice. Although juice still provides nutrients, you'll miss out on all of the beneficial fiber.<br />
<br />
<b>Vision</b><br />
<br />
You help protect your eyes when you eat grapefruit, because it is high in vitamin A. Women need 700 micrograms of vitamin A each day and men require 900 micrograms, reports the Office of Dietary Supplements. One medium 4-inch grapefruit has approximately 60 micrograms of vitamin A.<br />
<br />
Grapefruit also has beta-carotene, lycopene, lutein and zeaxanthin. These phytochemicals are compounds of vitamin A that protect eye health and lower your risk of age-related macular degeneration, which leads to vision loss.<br />
<br />
<b>A Few Words of Warning:</b> Despite all of these health benefits, and the fact that sometimes grapefruits can be superior to other medicines in their efficacy, you must be very careful taking medicine and consuming grapefruit juice at the same time.<br />
<br />
Certain chemicals in grapefruits, like naringin, and other less common compounds can negatively interact with various drugs and cause damage to your organ systems. Be sure to consult your doctor in terms of drug interactions with grapefruit juice in your diet before beginning any new treatments! You want to improve your health, but sometimes doing it in too many different ways can hurt you!<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
เกรปฟรุต - วิกิพีเดีย<br />
http://goo.gl/lXbZjY<br />
<br />
คำเตือน : กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม<br />
http://goo.gl/DdXIOl<br />
<div>
<br /></div>
<div>
Benefits of Eating Grapefruit and Vision : SFGate</div>
http://healthyeating.sfgate.com/benefits-eating-grapefruit-4402.html<br />
<br />
A Few Words of Warning : Organic Information Services<br />
http://www.organicfacts.net/health-benefits/fruit/health-benefits-of-grapefruit.html<br />
<br />
ขอบคุณภาพประกอบจาก : texasweet.com<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com<br />
<br />SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-29517149913775429182013-10-13T14:17:00.000+07:002015-04-08T10:49:41.643+07:00ประโยชน์ของผักสีขาว Benefits of white vegetables<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVuFaTgbN8Asft4hdn3qT5afAUHPKa1uw3tTXzrkBFQsfDFbAkzwwv6T0Y9XF2ZZUdwatXpUj8jNiQRdLcjqI2pFaX4B4DlVyNk5VdSpCKqUJKKhoanQCwNBsxGcrI6dUQW9mb2Anne6Z_/s1600/white+vegetables.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVuFaTgbN8Asft4hdn3qT5afAUHPKa1uw3tTXzrkBFQsfDFbAkzwwv6T0Y9XF2ZZUdwatXpUj8jNiQRdLcjqI2pFaX4B4DlVyNk5VdSpCKqUJKKhoanQCwNBsxGcrI6dUQW9mb2Anne6Z_/s320/white+vegetables.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: xx-small;">ขอบคุณภาพประกอบจาก kitchen-appqred</span><br />
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของผักสีขาว </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Benefits of White Vegetables</span></b></div>
<br />
<b>ข้อดีของ “ผักสีขาว” มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ</b><br />
<br />
เป็นที่ทราบกันดีว่า “สีขาว” แม้จะไม่ได้เป็น 1 ใน 7 ของสีรุ้ง แต่เป็นการรวม 7 สีของสีรุ้งเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นสีขาว<br />
<br />
สำหรับผักผลไม้ที่มี<b><span style="color: #cccccc;">สีขาว</span></b> <span style="color: #7f6000;"><b>สีชา</b></span> และ<b><span style="color: #783f04;">สีน้ำตาล</span> </b>เกิดจากสารให้สีในกลุ่มของ <b>ฟลาโวนอยด์ (flavonoid)</b> เช่น<br />
<b>- แอนโธซานติน (เหลืองนวล)</b><br />
<b>- แทนนิน (ไม่มีสี)</b> ซึ่งฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง<br />
<br />
นอกจากนั้นผักกลุ่มนี้ยังมีสารประกอบหลายชนิดที่นักวิจัยทั่วโลกให้ความสนใจ เช่น<br />
<br />
<b>ในกระเทียม หัวหอม</b> มี<b>สารอัลลิซิน (allicin)</b> ซึ่งช่วยป้องกันโลหิตสูง ลดคลอเลสเตอรอล อีกทั้งยังป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ<br />
<br />
<b>สารอัลลิซิน</b> ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ในการทำลายพิษช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์<br />
<br />
<b>ในเมล็ดงา</b>มี<b>สารเซซามิน</b> มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มปริมาณวิตามินอีในร่างกาย รวมทั้งในงานวิจัยยังพบว่าสามารถลดไขมันในกระแสเลือดและคลอเรสเตอรอลในเลือดได้<br />
<br />
<b>ผักสีขาวที่เราสามรถเลือกรับประทานมีดังนี้</b><br />
<br />
ดอกกะหล่ำ กระเทียม ต้นกระเทียม ขิง ข่า ขึ้นฉ่าย เห็ดฟาง เห็ดเข็มทอง หอมหัวใหญ่ ต้นหอม มันฝรั่ง หัวไชเท้า ดอกแคขาว ผักกาดขาว หางหงส์ ขมิ้นขาว หัวปลี ถั่วงอก กุยช่ายขาว ยอดมะพร้าว งาขาว ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี มะละกอดิบ เห็ดสีขาว มะเขือเปราะ เซเลอรี่ (ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) เห็ด แครอทสีขาว หน่อไม้ฝรั่งสีขาว ฟักทองญี่ปุนสีขาว ฯลฯ<br />
<br />
<b>ส่วนผลไม้ที่มีสีขาว เช่น</b><br />
<br />
แอปเปิ้ล สาลี่ มันแกว ฝรั่ง เนื้อมังคุด แก้วมังกร เงาะ ลิ้นจี่ กระท้อน พุทรา แก้วมังกร ลำไย กล้วย เป็นต้น<br />
<br />
ควรรับประทานผักให้ครบทุกกลุ่มโดยใช้สีของผักเป็นตัวช่วย เพราะผักแต่ละชนิดแต่ละสีมีประโยชน์ต่อร่างกายต่างกัน ประกอบด้วยสีเขียว ม่วง ฟ้า เหลือง ส้ม แดง และขาว<br />
<br />
<b>ประโยชน์จากผักผลไม้สีขาว</b><br />
<br />
ผักผลไม้สีขาว อุดมไปด้วย<br />
<br />
- สารอัลลิซิน (Allicin)<br />
- อะโจอีน (Ajoene) และ<br />
- เอสอะลีนวิติน (S-allylcysteine) ช่วยรักษาระดับคอเรสตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และยังมี<br />
- วิตามินซี สารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงผิวพรรณและป้องกันหวัด อีกทั้งด้านการแข็งตัวของเลือดและต้านจุลินทรีย์ เช่น<br />
<br />
แอปเปิ้ล ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสียหายของเซลล์และอวัยวะในร่างกาย<br />
<br />
ขิงและข่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยดูแลความดันเลือด และป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น<br />
<br />
<b><span style="color: #cccccc;">ผักสีขาว</span>และ<span style="color: #660000;">น้ำตาล</span></b><br />
<br />
ผักสีขาวและน้ำตาล ให้สารพวกอัลลิซิน สารชนิดนี้ พบมากในกระเทียม พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใช้เพิ่มกลิ่นและรสชาติของอาหาร ช่วยให้หัวใจดี รักษาระดับโคเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน มีคุณสมบัติเป็นยาขับลม รักษาอาการแน่นจุกเสียด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แม้เราจะรู้ว่าสารอัลลิซิน มีมากในกระเทียม แต่สารชนิดนี้สลายไปได้ง่าย แม้เพียงแค่สับกระเทียมทิ้งไว้ จึงต้องรับประทานกันสดๆจริงๆ ผักผลไม้ในกลุ่มสีขาวนี้ ยังได้แก่ หัวหอม ดอกแค ถั่วงอก เห็ด เงาะ ฝรั่ง ลิ้นจี่ กระท้อน มังคุด น้อยหน่า แห้ว งา ลูกเดือย<br />
<br />
<b>Tips for Healthy Meal</b><br />
<br />
ถึงจะทราบกันแล้วว่า ผักผลไม้ดีกับสุขภาพ แต่หลายคนยังไม่ค่อยทานผักผลไม้กันเท่าไหร่ จึงมีเทคนิคมาแนะนำ ช่วยให้คุณเพิ่มปริมาณการกินผักผลไม้ในแต่ละวัน<br />
<br />
<b>เพิ่มผักในทุกเมนูหรือจะเพิ่มเมนูอุดมผัก </b>เมนูไทย ๆ ประเภทผัดไท ผัดเปรี้ยวหวาน ขนมจีนน้ำยา แกงส้มผักรวม สารพัดน้ำพริกผักจิ้ม เมนูอาหารปักษ์ใต้ก็เป็นเมนูอุดมผัก หรือจะเปลี่ยนไปชิมอาหารเวียดนามนอกบ้านบ้าง<br />
<br />
<b>เพิ่มการดื่มน้ำผลไม้</b> ตื่นเช้ามาดื่มน้ำผลไม้สดปลอดน้ำตาลสักแก้ว เพิ่มความสดชื่นได้ดี หากเป็นน้ำผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง ๆ ยิ่งเพิ่มความสดชื่นให้กับการทำงานของสมอง ควรแทนที่ชา กาแฟ น้ำหวาน น้ำอัดลมที่ดื่มประจำด้วยน้ำผลไม้ และพยายามทำให้เป็นนิสัย<br />
<br />
<b>มื้อว่าง ของหวานเปลี่ยนจากเมนูแป้ง น้ำตาล ไขมันมาเป็นเมนูผลไม้</b> เช่น ผลไม้สด ๆ สับเปลี่ยนชนิดไป หรือโยเกิร์ตผสมผลไม้ เต้าฮวยฟรุตสลัด ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด ลูกพรุน พรุทรา ก็ทำให้ได้รสชาติหวานสดชื่นได้เช่นกัน<br />
<br />
<b>White :</b><br />
<br />
White fruits and vegetables derive their color from the phytochemicals called “anthoxanthins”.<br />
<br />
Health benefits: Many white fruits and vegetables also contain the chemical allicin, which may help lower cholesterol and blood pressure as well as reduce the risk of stomach cancer and heart disease.<br />
<br />
<b>Other reasons to eat white fruits and veggies:</b><br />
<br />
- Some members of the white group, such as bananas and potatoes, are also a good source of potassium, which is important for the healthy functioning of our heart, kidneys and other vital organs.<br />
<br />
Examples: Bananas, cauliflower, garlic, ginger, jicama, mushrooms, onions, parsnips, potatoes, turnips.<br />
<br />
Thanks Eng. info : Gentle World<br />
http://gentleworld.org/phytochemicals-eating-from-the-rainbow/<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
ประโยชน์จากผักผลไม้สีขาว wellnessthai.net<br />
http://goo.gl/7xUgoW<br />
<br />
ผักสีขาวและน้ำตาล thaigoodview.com<br />
http://www.thaigoodview.com/node/157338<br />
<br />
สารสีขาว-น้ำตาล lovefitt.com<br />
http://goo.gl/mqDd5l<br />
<div>
<br /></div>
<div>
<div>
Tips ruksukaphab.com</div>
<div>
http://www.ruksukaphab.com/articles/41988089/health/fruits_vegetables.html<br />
<br />
"HkVogue Thailand" <a href="http://buff.ly/1GR2YNk">http://buff.ly/1GR2YNk</a><br />
Contact : Willy Tel. 093 649 2288<br />
email : hkvoguethailand@gmail.com</div>
</div>
SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-8761438416730549562013-10-09T23:21:00.002+07:002015-04-05T18:39:37.867+07:00ประโยชน์ทางโภชนาการของดอกอัญชัน Nutritional Benefits of Butterfly Pea or Blue Pea Flowers (Anchan)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4k-ZSxuvkM753u3pSGXiKahdtDq79UKmApA_ERUTFH8DClkMm3ef3WLDDQR6FFMmzFn5fhzxM9d6ugx33RbsHF6QCP5_Obk1CyXsBD0epNuvyMAaJ3Ccib5PyYP1_tdYznUlM8-3Dric7/s1600/%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4k-ZSxuvkM753u3pSGXiKahdtDq79UKmApA_ERUTFH8DClkMm3ef3WLDDQR6FFMmzFn5fhzxM9d6ugx33RbsHF6QCP5_Obk1CyXsBD0epNuvyMAaJ3Ccib5PyYP1_tdYznUlM8-3Dric7/s320/%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<b><span style="font-size: large;">อัญชัน Asian Pigeonwing</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Butterfly pea or Blue pea</span></b></div>
<br />
<b>อัญชัน</b> (อังกฤษ: Asian pigeonwings; ชื่อวิทยาศาสตร์: Clitoria ternatea L.) เป็นไม้เถา ลำต้นมีขนนุ่ม มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ แดงชัน (เชียงใหม่) และเอื้องชัน,เองชัญ (เหนือ) เมื่อคั้นออกมาจะได้เป็นสีฟ้า ลักษณะของดอกอัญชันจะมีสีขาว สีฟ้า สีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลือง และรูปทรงคล้ายหอยเชลล์<br />
<br />
<b>วิธีนำดอกอัญชัน (Butterfly pea or Blue pea) มาใช้ประโยชน์</b><br />
<b><br /></b>
สีจากกลีบดอกสดมีสีน้ำเงินด้วยสารแอนโทไซอานิน ใช้เป็นสารบ่งชี้ (indicator) แทนลิตมัส (lithmus)เมื่อเติมน้ำมะนาว (กรด) ลงไปเล็กน้อยจะกลายเป็นสีม่วง<br />
<b><br /></b>
- ดอก สกัดสีมาทำสีผสมอาหาร มีความปลอดภัยต่อร่างกายเพิ่มสีสันให้สดสวย หุงข้าวสวย ข้าวเหนียว ผสมแต่งสีในขนมหวานไทย ๆ เช่น ขนมเรไร ขนมน้ำดอกไม้ ขนมขี้หนู ขนมชั้น ขนมดอกอัญชัน ข้าวเหนียวตัด ใช้แต่งสีอาหารเช่น หุงข้าวผสมสีจากน้ำคั้นดอกอัญชัญได้สีน้ำเงินม่วงสวย รับประทานเป็นข้าวยำปักษ์ไต้ เป็นต้น<br />
<br />
- น้ำคั้นจากดอกอัญชัน ใช้ดื่มดับกระหาย และยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทานได้อีกด้วย ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
<b>ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากดอกอัญชัน</b><br />
<br />
<b>ดอกอัญชันมีสารแอนโธไซยานิน(สารรงควัตถุ ที่ทำให้มีสี)</b> ซึ่งสารนี้จะพบในผลไม้และดอกไม้ที่มีสีน้ำเงิน สีแดง และสีม่วง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยที่พืชจะสร้างสารนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันดอกและผลของตัวเอง โดยป้องกันอันตรายจากแสงแดด สารแอนโธไซยานิน มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชรา โดย ป้องกันความจำเสื่อม ผิวพรรณหน้าตา เพราะมีผลในการเพิ่มปริมาณสาร อะซิตี้โกลีน และลดปริมาณสารอะซิตี้โกลีนแอสเตอเลส (ซึ่งหากมีสารตัวนี้มากจะทำให้ความจำเสื่อม)<br />
<br />
<b>สารแอนโธไซยานิน มีอยู่มากในดอกอัญชัน</b>มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้ จะไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กๆ เช่น หลอดเลือดส่วนปลายทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงมากขึ้น ในขณะนี้ ก็มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก เกี่ยวกับ และความสามารถของ<b><span style="color: #351c75;">"สารแอนโธไซยานิน"</span></b> ที่มีอยู่ในดอกอัญชันยังเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของดวงตา เช่น ตาเสื่อมที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก และยังทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมมากขึ้น ทำให้เซลล์รากผมแข็งแรงขึ้นอีกด้วย<br />
<br />
ใน ดอก เมล็ด ใบ และรากของอัญชันยังมีสารต่าง ๆ ที่สำคัญ อีก ดังนี้<br />
สารอดีโนซีน (adenosine) มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ<br />
สารแอสตรากาลิน (astragalin) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง<br />
สารเคอร์เซติน (quercetin) เป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ<br />
<br />
นอกจากนี้ยังมี<br />
สารแอฟเซลิน (afzelin)<br />
สารอปาราจิติน (aparajitin)<br />
กรดอราไชดิก (arachidic acid)<br />
กรดชินนามิกไฮดรอกซี (cinnamic acid, 4-hydroxy)<br />
และสารซิโตสเตอรอล เป็นต้น<br />
<div>
<br /></div>
พืชที่มีแอนโธไซยานินมักพบสารกลุ่มโพลีฟีนอลด้วย สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอสภาวะเสื่อมของเซลล์<br />
<br />
<span style="color: #0b5394;"><b>อาหารที่มีสีน้ำเงิน</b></span><b>/</b><span style="color: #351c75; font-weight: bold;">สีม่วง</span> ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง มันสีม่วง องุ่นแดง ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดงอื่นๆ ลูกหว้า ลูกไหน ลูกพรุน ลูกเกด ข้าวแดง ข้าวนิล ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดงและถั่วดำ มะเขือม่วง หอมแดง หอมหัวใหญ่สีม่วง บลูเบอร์รี่ น้ำดอกอัญชัน น้ำว่านกาบหอย มันต้มสีม่วง และเผือก<br />
<br />
<b>ข้อควรระวัง</b><br />
<br />
การบรรยายของท่านรองศาสตราจารย์พร้อมจิต ศรลัมพ์ จากคณะเภชสัชศาสตร์ มหิดล ร่วมบรรยายสรรพคุณของเครื่องปรุง<br />
<span style="color: #351c75;"><b>ดอกอัญชัน</b></span> : บำรุงดวงตา ทำให้ตาสว่างที่มหิดล ท่านบอกว่า อย่าให้น้ำอัญชันสีเข้มเกินไป เพราะจะทำให้ไตนั้นทำงานหนัก ในการขับสารสีจากอัญชันออกมา หากต้องการน้ำดอกอัญชันสีม่วง ให้เพิ่มน้ำมะนาวลงไป 2 ช้อนชา<br />
<br />
เนื่องจากดอกอัญชันนั้นมีในการฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด สำหรับผู้มีเลือดจางห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด หรืออาหารเครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยอัญชันก็ไม่ควรรับประทานบ่อยๆ<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
- อัญชัน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br />
http://goo.gl/csBLkN<br />
- Greenerald Cosmetics<br />
http://goo.gl/M9xcGD<br />
- แอนโธไซยานิน student.chula<br />
http://www.student.chula.ac.th/~53371125/board.html<br />
- Thai Herb Therapy<br />
http://thaiherbtherapy.com/Herbs/Herb_Aunchan.html<br />
- กินให้เป็นรู้ให้ทัน ครั้งที่ 5/2550 งานโภชนาการ - CoP Webboard<br />
วันพุธที่ 19 กันยายน 2550<br />
http://medinfo.psu.ac.th/KM/copboard/view.php?No=41<br />
- ส่วนที่ใช้ ดอก เมล็ด ใบ ราก และสารประกอบ L3nr - Learners.in.th<br />
http://goo.gl/Y1H3vB<br />
<br />
<b>Butterfly Pea Tea Thai 'Anchan' wild blue herbal flower tea (Proanthocyanidins)</b><br />
<b>Clitoria ternatea</b><br />
<br />
Butterfly Pea is an ancient Thai herbal plant. Its flower has three different colors white, blue, and purple. Not only beautiful, Butterfly Pea first gained its reputation as a powerful hair strengthener in the traditional Thai medicine. leaves, flowers, seeds, and roots are all used as medicinal herbs. According to Thai culture & folklore, butterfly pea flowers are squeezed to make Anchan tea, and as a coloring forThai desserts in blue and purple colors.<br />
<br />
It also provides anthocyanin to improve eyesight, treat opthalmitis and eye infections, nourish hair, provide antioxidants and boost body immunity. Many health & beauty products are derived from this flower because of the positive effects of the flavanoid, Quercetin has on skin & hair. The hot or cold tea is extremely thirst quenching and relaxing.<br />
<br />
Anthocyanins are highly concentrated in the deep blue pigments of wild Butterfly Pea, which contain higher levels of anthocyanins than many other foods. They belong to a group of natural compounds, called flavonoids, found in the skins of many plants that have high antioxidant capacity and other bioactivity.<br />
Researchers focused on the relationship between anthocyanin consumption and type 2 diabetes by examining data from over 200,000 men and women participating in long-term health studies.<br />
<br />
In the study, they found that higher consumption of anthocyanins was associated with lower risk of type 2 diabetes, possibly due to their high content of anthocyanins, said Walter Willett, MD, DrPH, Professor of Epidemiology and Nutrition at Harvard School of Public Health and the studys lead author.<br />
<br />
Proanthocyanidin with its high content of the flavonol quercetin improves eyesight, treat opthalmitis & eye infections, nourishes hair & skin, provides antioxidants and boosts body immunity. Clinical research in butterfly pea indicates that it has potential health effects against eye degeneration caused by diabetes, glaucoma, cataract and other eye related problems. It is said that the butterfly pea flower is one of the most valuable natural herbal plants in Thailand.<br />
<br />
Benefits: Natural anti-oxidant, improves blood circulation. helps prevent hair loss and graying hair. Cleanses blood, & improves night vision, revitalizes skin & hair<br />
Eng. info:Siam Natural<br />
http://www.paradisemoon.com/herbal/Siam-Natural_Butterfly_Pea.htmSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-39329295714312827662013-10-09T19:07:00.000+07:002015-04-05T18:55:33.683+07:00ประโยชน์ของฝรั่งเนื้อแดง Benefits of Red Guava<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQoTnQK8yqk0mpZIV1nb0usQomg4UWa9IiDzLZmF2S7ywHwa8jS-tWO96bPzOLyw4L7bsgVAmGufyrs2Qt579prBOaBmH5dbbVnhEBNkyL-DGXMVfvRuvul4RRMyb7h_aPi_2JUWWx_uAj/s1600/%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQoTnQK8yqk0mpZIV1nb0usQomg4UWa9IiDzLZmF2S7ywHwa8jS-tWO96bPzOLyw4L7bsgVAmGufyrs2Qt579prBOaBmH5dbbVnhEBNkyL-DGXMVfvRuvul4RRMyb7h_aPi_2JUWWx_uAj/s320/%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2587.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<b><span style="font-size: large;">ฝรั่งเนื้อแดง (Red Guava)</span></b></div>
<br />
<b>ฝรั่งเนื้อแดง (Red Guava)</b> อุดมไปด้วย<b>ไลโคพีน (Lycopene)</b> สารไลโคพีน เป็นเม็ดสีแคโรทินอยด์สีแดงสด ชื่อนี้ได้มาจากชื่อของมะเขือเทศ และพบในพืชพวกมะเขือเทศ อีกทั้งผลไม้สีแดงอื่นๆ และขึ้นชื่อในเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระประเภทแคโรทินอยด์ที่แรงมาก และมีความสามารถมากกว่าฤทธิ์ของวิตามินอี 100 เท่า และ 125 เท่าเมื่อเทียบกับกลูต้าไธโอน<br />
<br />
<b>ผักผลไม้สีแดงจึงมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นอย่างมาก</b> โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในสารไลโคพีน จึงมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งที่มดลูก และปอด และป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้มากถึงร้อยละ 20 ผลไม้สีแดงยังอุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย และเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับวิตามินเอ บี ซี อี เค แร่ธาตุโพแตสเซียม และโบรอน<br />
<br />
<b>วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา</b><br />
<br />
อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ และช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย และทำให้หลายภาวะผิดปกติของเซลล์ดีขึ้น เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน กระดูกพรุน และภาวะการเป็นหมันชาย และยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้อีกด้วย<br />
<br />
<b>Guava is rich in fiber and low in calories. Vitamins and minerals also acts as an antioxidant for the body.</b><br />
<br />
Guava has many vitamins and minerals essential for the body. Amount of nutrients depending on the size of the fruit. Here are the health benefits of red guava.<br />
<br />
<b>Fiber</b><br />
<br />
Dietary fiber is essential for healthy digestion, normalize blood sugar levels and increase feelings of fullness.<br />
<br />
<b>Vitamin A</b><br />
<br />
Vitamin A is an essential nutrient that helps improve the health of the eyes, skin, teeth and bone tissue. Vitamin A also acts as an antioxidant, which reduces cell damage caused by free radicals.<br />
<br />
<b>Carotenoids</b><br />
<br />
Guavas are also rich in carotenoids – compounds which have been shown to promote eye health and also prevent oxidation. Oxidation is damage to the body that occurs due to exposure from sources of blue and ultra violet light. It can potentially damage DNA in cells and cause them to mutate and become cancerous. It can also cause damage to sensitive organs like the eyes and trigger degenerative conditions.<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
- Carotenoids FROM : SUPER HUMAN FOODShttp://superhumanfoods.org/...<br />
- Fiber and Vitamin A From Financial Services<br />
http://www.rsmricher.com/?p=1291<br />
- สารไลโคพีน และ วิตามินเอ : นานาสาระ เรื่อง ประโยชน์จากผักผลไม้สีแดง<br />
http://tiksmoor.blogspot.com/2013/06/blog-post_4449.htmlSEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-14900719067907661822013-10-08T19:14:00.004+07:002015-04-05T18:56:18.779+07:00สาลี่ผลไม้เพื่อสุขภาพ Health Benefits of Asian Pears<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDLhEWYRuNASWVJlvXVeM-5JT0wGH7vEyMtYqxAilQF6llyMjrvqCNIGE-EwjpvYxyllPeBRktYRuzmV4byQyRYC8m8zpB3mKrx8CXkmh_wSE5DBY7Qs1Buea6sLq9rklsCzY4xtO4Uf4b/s1600/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588+asian+pears.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDLhEWYRuNASWVJlvXVeM-5JT0wGH7vEyMtYqxAilQF6llyMjrvqCNIGE-EwjpvYxyllPeBRktYRuzmV4byQyRYC8m8zpB3mKrx8CXkmh_wSE5DBY7Qs1Buea6sLq9rklsCzY4xtO4Uf4b/s320/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588+asian+pears.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<span style="font-size: large;">สาลี่ผลไม้เพื่อสุขภาพ </span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;">Health Benefits of Asian Pears</span></div>
<br />
<b>สาลี่</b> ภาษาอังกฤษ <b>Asian pear</b>, Chinese pear, Nashi pear, Korean pear, Japanese pear, Taiwan pear, Sand pear มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pyrus pyrifolia (Burm.) Nak. เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในวงศ์ Rosaceae โดยมีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันตกของจีน<br />
<br />
ลักษณะของต้นสาลี่ เป็นไม้ยืนต้น ทรงคล้ายพีระมิด ส่วนลักษณะของดอกมีสีขาวออกเป็นช่อ และลักษณะของผลสาลี่ หรือลูกสาลี่ มีลักษณะคล้ายผลแอปเปิ้ล มีหลายสี ตั้งแต่<span style="color: #f1c232;">สีเหลือง</span> <span style="color: #6aa84f;">เขียว</span> <span style="color: #f6b26b;">แดงอมส้ม</span>และ<span style="color: #bf9000;">น้ำตาล</span> โดยเนื้อสาลี่จะมีลักษณะกรอบและฉ่ำน้ำ (แต่บางสายพันธุ์จะเป็นเนื้อทราย) มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อมีกลิ่นหอม มีเมล็ดขนาดเล็กลักษณะแบนรีสีดำหรือสีน้ำตาลออกดำ<br />
<br />
<b>สาลี่ / Asian Pear</b><br />
<br />
- สาลี่มีฤทธิ์เย็น รสหวานหอม จึงใช้รักษาผู้ที่มีอาการร้อนใน<br />
- สาลี่มีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ จึงช่วยให้สดชื่น ชุ่มคอ แก้กระหาย - สาลี่มีธาตุอาหารมากมาย เช่น <b>เบตาแคโรทีน</b> <b>วิตามินซี</b> ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตา ตาบอดกลางคืน และช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ทั้งยังมี วิตามินเค แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และเส้นใยที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน กระตุ้นภูมิคุ้มกันแก้อาการท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและความชรา<br />
- ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดี ช่วยย่อย ขับปัสสาวะ กระตุ้นการทำงานของไต และลดความดันโลหิต<br />
<br />
<b>ข้อมูลเพิ่มเติม : </b><br />
<br />
<b>วิตามินซี</b><br />
มีการพบวิตามินซีความเข้มข้นสูงในเนื้อเยื่อของตา การขาดวิตามินซี สามารถก่อให้เกิดปัญหามากมายต่อดวงตา รวมทั้งการเกิดเลือดออกในเปลือกตาและเยื่อบุลูกตา<br />
<br />
ในการวิจัย เช่น การศึกษาเรื่องโรคของดวงตาที่สัมพันธ์กับอายุ (AREDS – Age-related eye disease study) ได้เปิดเผยว่าการใช้อาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งรวมถึงวิตามินซีนั้นให้ผลดีต่อสุขภาพตา<br />
แหล่งอาหาร : แบล็คเคอร์เรนท์ สตรอเบอร์รี พริก และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว<br />
<br />
<b>Vitamin C</b><br />
Vitamin C is found in high concentrations in the tissues of the eye. Deficiencies can result in numerous eye problems, including bleeding in the lids and conjunctiva.<br />
<br />
Trials such as the age-related eye disease study (AREDS) reveal positive eye health outcomes when using supplemental antioxidants including vitamin C.<br />
<br />
FOOD SOURCES: blackcurrants, strawberries, capsicum and citrus fruits<br />
<br />
<b>วิตามินเอ</b><br />
วิตามินเอ เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกสารที่เกี่ยวข้องโดยรวมๆ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ<br />
(1) สารก่อรูปวิตามินเอ พบได้เฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์ ตัวอย่างเช่น เรตินอล<br />
(2) โปรวิตามินเอ (แคโรทีนอยด์) พบมากในอาหารจำพวกที่มาจากพืช ตัวอย่างของเหล่านี้รวมถึง<b>เบต้าแคโรทีน</b> <b>ลูทีน และซีแซนทิน</b><br />
สารก่อรูปวิตามินเอ อาจช่วยป้องกันเยื่อบุจอรับภาพในตาจากการทำลายโดยอนุมูลอิสระ และเป็นที่ทราบกันว่าสารนี้ยังมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับความเสียหายจากกระบวนการนี้<br />
การขาดวิตามินเอ เกี่ยวข้องกับโรคตาบอดกลางคืน และเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในเด็กชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแท้จริงนั้นป้องกันได้<br />
<br />
มีการพบแคโรทีนอยด์ ลูทีน และซีแซนทีนความเข้มข้นสูงในบริเวณจอประสาทตา (เรตินา) รวมทั้งบริเวณจุดกลางของจอรับภาพ (มาคิวลา) สารเหล่านี้ที่อยู่ในมาคิวลาช่วยดูดซับแสงสีฟ้าไว้ ซึ่งเชื่อกันว่าการทำลายตาโดยสารอนุมูลอิสระแบบที่เกี่ยวข้องกับแสงนี้มีบทบาทต่อการเสื่อมของตาไปตามอายุ และการได้รับอาหารที่มีลูทีน และซีแซนทีนในปริมาณสูงนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมเหล่านี้<br />
<br />
แหล่งอาหาร : วิตามินเอพบในตับ ผลิตภัณฑ์นม และไข่ ส่วนลูทีนและซีแซนทีนนั้นพบในอาหาร เช่น ผักขม ผักคะน้าจีน (Kale) ผักคะน้าฝรั่ง (Collard) และบร็อคโคลี<br />
<br />
<b>คำแนะนำ</b><br />
แคโรทีนอยด์จะถูกดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อได้รับพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณรับประทานสลัดที่ใส่แครอท ผักขม และฟักทอง ควรราดด้วยน้ำสลัดที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น น้ำมันมะกอก เป็นต้น<br />
<br />
<b>Vitamin A</b><br />
Vitamin A is the generic term used to encompass a range of related compounds. These compounds can be divided into two key groups:<br />
<br />
(1) Preformed vitamin A (retinoids), which are found only in foods of animal origin. An example is retinol.<br />
(2) Provitamin A (carotenoids), found predominantly in food sources of plant origin. Examples of these include betacarotene, lutein and zeaxanthin<br />
<br />
Preformed vitamin A may protect the photoreceptor membranes in the eye against oxidative damage and is known to have a role in the repair of cells that have been injured by this process.<br />
Vitamin A deficiency is associated with night blindness and is the primary cause of preventable blindness in South-East Asian children .<br />
<br />
The carotenoids lutein and zeaxanthin are found in high concentrations in the retina of the eye, including the macula. In the macula, these function to absorb blue light. Light- associated oxidative damage is believed to play a role in the development of age-related eye conditions, and high dietary intakes of lutein and zeaxanthin are linked to a lower risk of these.<br />
<br />
FOOD SOURCES: Vitamin A is found in liver, dairy products and eggs; lutein and zeaxanthin are found in foods such as spinach, kale, collards and broccoli.<br />
<br />
<b>Quick fact</b><br />
Carotenoids are best absorbed when taken with dietary fats. If you're eating a salad with carrots, spinach, and pumpkin for example, have it with a dressing containing oil eg. olive oil.<br />
Thanks information from : Blackmores Thailand<br />
http://goo.gl/RKc6kq<br />
<br />
<br />
<b>WHAT ARE THE BENEFITS OF ASIAN PEARS?</b><br />
<br />
<b>The Asian pear</b>, also called Japanese pear or Nashi, is a small, round yellow fruit that may look more like an apple upon first glance. Once you bite into an Asian pear, you'll recognize the sweet pear taste you expect from other pears. Asian pears are as nutritious as they are tasty; their nutrients can contribute to your health in several ways.<br />
<br />
<b>Eye Health</b><br />
<br />
<b>Asian pears</b> are rich in vitamin C, delivering approximately 80 percent of your daily needs. The Linus Pauling Institute recommends that adults consume 75mg of vitamin C daily, with smokers and pregnant women needing to increase this to 80 to 110 mg. <b>Vitamin C</b> is an antioxidant that can maintain your eye health, preventing a condition called cataracts that can potentially rob you of your sight. The World's Healthiest Foods explains that pears and other vitamin C-rich fruits can reduce your risk of age-related macular degeneration, or AMD, another eye disease that can destroy your vision.<br />
Thanks information from : livestrong<br />
http://goo.gl/nauOdN<br />
<br />
แหล่งข้อมูลอ้างอิง<br />
<br />
Vitamin A , Vitamin C : Blackmores Thailand<br />
<div>
http://www.blackmores.co.th/learning-centre/articles/bright-eyes-how-to-eat-for-better-eye-health</div>
<div>
<br /></div>
<div>
Asian Pears : livestrong</div>
<div>
http://www.livestrong.com/article/262437-what-are-the-benefits-of-asian-pears/#ixzz2h7pbrE89</div>
<div>
<br /></div>
สาลี่ (ผลไม้) จาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br />
http://goo.gl/nea5IR<br />
<br />SEO MAMhttp://www.blogger.com/profile/15118176076721675157noreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-43046630525832362282013-10-05T18:06:00.001+07:002015-04-05T18:57:42.616+07:00ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม Orange-Yellow Fruits and Vegetables<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiu1-dA7KdRmZDA8MAVjtYOMz7RvhyphenhyphenZkFHRYdoKBkMaXbjdFPmspb2VCRlzHLdyF4PEEv1CAzmFKnQ3YkuFA1Q4zewfKtMYfONxVbhR5YKIrwf83-bGAKp7Rcu0Zo_WoqWRegw99xrk7apA/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiu1-dA7KdRmZDA8MAVjtYOMz7RvhyphenhyphenZkFHRYdoKBkMaXbjdFPmspb2VCRlzHLdyF4PEEv1CAzmFKnQ3YkuFA1Q4zewfKtMYfONxVbhR5YKIrwf83-bGAKp7Rcu0Zo_WoqWRegw99xrk7apA/s320/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<b><span style="font-size: large;">ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม</span></b> </div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>Orange-Yellow Fruits and Vegetables</b></span></div>
<br />
เมื่อกล่าวถึงผักผลไม้ที่มีสีส้ม เรามักจะนึกถึงแครอทเป็นอย่างแรก และเนื่องจากแครอทเป็นพระเอกของผักผลไม้สีส้ม ชื่อสารสำคัญที่มีสีส้มจึงไปพ้องกับชื่อของแครอท นั่นก็คือ แคโรทีนอยด์<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">แคโรทีนอยด์เป็นเม็ดสีสีส้ม</span>ที่พบในพืช เป็นเม็ดสีที่ไม่ละลายในน้ำ</b> (แต่ละลายได้ดีในไขมัน) แคโรทีนอยด์เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) และมีโครงสร้างทางเคมีที่มีขนาดใหญ่ เมื่อเรารับประทานเข้าไปในร่างกาย ตับเราจะทำหน้าที่เปลี่ยนโมเลกุลดังกล่าวให้กลายเป็นวิตามินเอ หลังจากนั้นกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ในร่างกายจะเปลี่ยนวิตามินเอ ให้กลายเป็น เรตินอล และเรติโนอิกแอซิด ซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดเล็กลงจนร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้<br />
<br />
<b>แคโรทีนอยด์ หรือ โปรวิตามินเอ</b> อาจแบ่งย่อยตามโครงสร้างทางเคมีออกได้เป็น <b>เบต้าแคโรทีน แอลฟ่าแคโรทีน หรือเบต้าคริปโทแซนทีน</b> ซึ่งสารเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้หมด แต่ก็ยังมีสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบมากในพืช เช่น <b>ไลโคพีน</b> (ที่พบในมะเขือเทศ) หรือ <b>ลูทีน</b> ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวิตามินเอเมื่อรับประทานสดๆ ได้<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของวิตามินเอและแคโรทีนอยด์ </b><br />
<br />
<b>วิตามินเอ</b>มีบทบาทสำคัญในการมองเห็น กล่าวคือ<b>วิตามินเอ เป็นองค์ประกอบสำคัญของโรดอปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ที่จุดรับแสงเรตินาในดวงตา</b> <b>ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเยื่อบุตา และกระจกตา </b><br />
<br />
นอกจากนี้วิตามินเอ ยังช่วยให้การเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์หัวใจ ปอด ไต และอวัยวะอื่นๆ เป็นไปอย่างปกติ ปริมาณวิตามินเอที่รับประทานได้ในแต่ละวัน (Recommended Dietary Allowances : RDAs for Vitamin A )สำหรับคนแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันไป และมีหน่วยเป็น ไมโครกรัม-อาร์เออี (RAE) ซึ่งขออนุญาตอธิบายสั้นๆ ว่าเป็นปริมาณที่เทียบได้กับวิตามินเอ (Retinol Activity Equivalents) ซึ่งเป็นหน่วยวัดปริมาณที่ตั้งขึ้นมาให้เป็นสากล แต่ตามฉลากของผลิตภัณฑ์ของวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ยังคงใช้หน่วยเป็นยูนิต (IU) ซึ่งสามารถคำนวณเทียบเป็น RAE ได้ดังนี้คือ<br />
<br />
1 IU ของเรตินอล เท่ากับ 0.3 mcg RAE<br />
1 IU ของเบต้าแคโรทีนในแบบขวดสำเร็จรูปวางขายตามท้องตลาด เท่ากับ 0.15 mcg RAE<br />
1 IU ของเบต้าแคโรทีนจากอาหาร เท่ากับ 0.05 mcg RAE<br />
1 IU ของแอลฟ่าแคโรทีน หรือ เบต้าคริปโทแซนทีน เท่ากับ 0.025 mcg RAE<br />
<br />
<b>แหล่งของวิตามินเอและแคโรทีนอยด์ตามธรรมชาติ</b><br />
<br />
<b>ส่วนใหญ่จะอยู่ในผักผลไม้ที่มี<span style="color: #e69138;">สีส้ม</span>หรือ<span style="color: #f1c232;">สีเหลือง</span></b> ได้แก่ แครอท มะละกอ ฟักทอง มะม่วง ส้ม ขนุน แคนตาลูป มันเทศ ลูกพลับ ทุเรียน เสาวรส ส่วนสารเบต้าแคโรทีนยังพบได้ในผักผลไม้สีเข้มแทบทุกชนิด เช่น พริกแดง มะเขือเทศ ตำลึง ฯลฯ ซึ่งเราสามารถกินทดแทนกันได้ แต่อาจจะได้รับสารเบต้าแคโรทีนไม่มากเท่าพืชผักในเฉดสีส้มเท่านั้นเอง<br />
<br />
การรับประทานเบต้าแคโรทีนนั้น หากต้องการรับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพ ป้องกันความเสื่อมถอยของร่างกาย เราควรรับประทานในรูปอาหาร แต่หากต้องการรับประทานเพื่อการรักษาภาวะความเสื่อมที่เป็นอยู่ ก็สามารถเลือกรับประทานในรูปแบบอาหารเสริมได้ <u>โดยควรให้อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด</u><br />
<br />
<u>อย่างไรก็ตามการบริโภคแคโรทีนอยด์หรือเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารเสริมมากเกินไปอาจเป็นเกิดผลเสียมากกว่าผลดี</u> ในขณะที่การรับประทานอาหารที่มีสารกลุ่มนี้ในแบบธรรมชาติ โอกาสที่ร่างกายเราจะได้รับสารนี้มากเกินไปก็จะเกิดได้ยาก เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป<br />
<br />
<b>บางคนอาจสงสัยว่าแล้วถ้าหากเราได้รับวิตามินเอ แคโรทีนอยด์ หรือเบต้าแคโรทีนมากเกินไป จะเกิดพิษต่อร่างกายหรือไม่ </b><br />
<br />
<b>คำตอบคือ</b> <u>ถ้าเราได้รับปริมาณมากเกินไป (โดยเฉพาะได้จากวิตามินแบบเม็ดสำเร็จรูป) ก็อาจเกิดอาการพิษได้ ซึ่งเราควรไปพบแพทย์เมื่อเกิดความผิดปกติ</u><br />
<br />
แต่ก็มีอาการบางอย่างที่เราสามารถสังเกตได้เอง ได้แก่ สีผิวปกติของเราอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือ ถ่ายเหลว หรือ มีจ้ำเลือดตามตัว หรือ ปวดข้อ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเมื่อได้รับวิตามินหรือสารกลุ่มนี้มากเกินไป แต่อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองเมื่อเราหยุดรับประทานไประยะหนึ่ง<br />
<br />
ที่มา : สารเคมีที่มีประโยชน์จากผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม<br />
ภญ.ดร.นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์<br />
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล<br />
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=155<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
<br />
Ross CA. Vitamin A. In: Coates PM, Betz JM, Blackman MR, et al., eds. Encyclopedia of Dietary Supplements. 2nd ed. London and New York: Informa Healthcare; 2010:778-91.<br />
Ross A. Vitamin A and Carotenoids. In: Shils M, Shike M, Ross A, Caballero B, Cousins R, eds. Modern Nutrition in Health and Disease. 10th ed. Baltimore, MD: Lippincott Williams & Wilkins; 2006:351-75.<br />
Solomons NW. Vitamin A. In: Bowman B, Russell R, eds. Present Knowledge in Nutrition. 9th ed. Washington, DC: International Life Sciences Institute; 2006:157-83.<br />
U.S. Department of Agriculture, Agricultural Research Service. USDA National Nutrient Database for Standard Reference, Release 24. Nutrient Data Laboratory Home Page, 2011.<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :St. Mary's Health System<br />
http://www.stmarysmaineblog.com/tag/fruits<br />
<br />
<b><span style="color: #f1c232;">Yellow</span>/<span style="color: #e69138;">Orange</span></b><br />
<br />
The colors of the blazing sun are a must have in your daily diet. Yellow and orange vegetables and fruits contain beta-carotene (which turns into vitamin A), vitamin C, vitamin E, folate (a B vitamin), and bioflavonoids. Research shows that these nutrients reduce the risk for cancer and heart attacks, boost immunity, help maintain good vision, and strong bones/teeth/skin.Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.7278956 100.52412349999997 13.7278956 100.52412349999997tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-55767090285049173622013-10-05T16:33:00.002+07:002015-04-05T18:58:28.433+07:00ข้อมูลเพื่อการดูแลสุขภาพ ด้วยผักผลไม้หลากสี ( Phytonutrients) Information for health care. With colorful fruits and vegetables<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuGQ0IE8VJp6YnpXTNhpE-rBz5YTgqVCl_ke6tUVBOsOYA4F7x-B-iuGpRsXiRYBsiLfCG5wRe8QwExT_Q2-SCtLgZM4ykxJULi3F383alCk9jkFzzZ_MgfEqZxOxrRK9cF58yVQlNjhH0/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuGQ0IE8VJp6YnpXTNhpE-rBz5YTgqVCl_ke6tUVBOsOYA4F7x-B-iuGpRsXiRYBsiLfCG5wRe8QwExT_Q2-SCtLgZM4ykxJULi3F383alCk9jkFzzZ_MgfEqZxOxrRK9cF58yVQlNjhH0/s320/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<b><span style="font-size: large;">ข้อมูลเพื่อการดูแลสุขภาพ ด้วยผักผลไม้หลากสี </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">( Phytonutrients)</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Information for health care . </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">With colorful fruits and vegetables. </span></b></div>
<br />
วิถีชีวิตในสังคมปัจจุบัน เราต้องยอมรับความจริงว่า อาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ เรามักไม่ค่อยได้คำนึงถึงการคัดเลือกคุณค่าและปริมาณของอาหารที่เหมาะสมมากนัก รวมถึงการไม่มีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การมีความเครียดท่ามกลางสภาวะแวดล้อม และมลภาวะรอบตัว ล้วนแล้วแต่เป็นตัวนำพาโรคร้ายมาสู่ตัวเราทั้งสิ้น<br />
<br />
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่า 28% ของคนไทยไม่นิยมรับประทานผักและผลไม้ (ไม่รับประทานเลยหรือรับประทานน้อยกว่า 5 วัน/สัปดาห์) ซึ่งคิดเป็นจำนวนถึง 16.74 ล้านคน อาจเป็นเพราะไม่มีเวลา ไม่ชอบ เลือกไม่ได้ หรือการสูญเสียสารอาหารของผักและผลไม้ในระหว่างการขนส่ง การปรุงเป็นอาหาร<br />
<br />
ทำให้คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่ไม่ได้รับสารอาหารจากผักและผลไม้ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความเสื่อมของเซลล์ และเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มะเร็งได้ง่ายขึ้น และกรณีที่เป็นโรคเรื้อรังดังกล่าวอยู่แล้ว ก็จะเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและสมองได้เร็วขึ้น<br />
<br />
จากวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันคนเราเผชิญกับปัญหาสุขภาพการเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้นในช่วงอายุที่น้อยลง ปัจจุบันในทางการแพทย์พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อวัยวะและร่างกายเสื่อมสภาพเกิดจากอนุมูลอิสระ แต่ยังโชคดีที่เราสามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารโดยเฉพาะกลุ่มผักและผลไม้<br />
<br />
จากการศึกษาค้นคว้า และผลการวิจัยจากแหล่งต่างๆ ในหลายประเทศ เห็นตรงกันว่า พืชผักจำนวนมาก มีสารอาหารที่สามารถนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพของคนเราได้ โดยภายใต้สีสันอันสวยงามของพืชผักและผลไม้นานาชนิดนั้น มีกลุ่มสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย<br />
<br />
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือกลุ่มสารแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ซึ่งเป็นเม็ดสีที่เป็นตัวกำหนดสีของพืชนั่นเอง กลุ่มสารเหล่านี้ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุสำคัญของโรคร้าย อย่างโรคมะเร็งและโรคหัวใจซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นถ้ากินผักและผลไม้ให้หลากหลาย เราก็จะได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ที่สามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์ และป้องกันไม่ให้เกิดโรคเรื้อรังด้วย<br />
<br />
<b><span style="color: #0b5394;">สีน้ำเงิน</span> <span style="color: #351c75;">สีม่วง</span> <span style="color: #990000;">สีแดง</span></b><br />
<br />
องุ่นแดง, สตรอเบอรี่, แอปเปิ้ล, เชอรี่, แบรคเคอเรนท์, ราสเบอรี่, แครนเบอรี่, บิลเบอรี่, เบอรี่, เอลเดอเบอรี่<br />
<br />
ต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง <b>ชะลอความเสื่อมของดวงตา</b> และยังช่วยยับยั้งเชื้อ อีโคไลในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษด้วย<br />
<br />
<b><span style="color: #38761d;">สีเขียว</span></b><br />
<br />
แตงกวา, หน่อไม้ฝรั่ง, กะหล่ำปลี, ส้ม, แอปเปิ้ล, ชาเขียว, บร็อคโคลี, องุ่นขาว<br />
<br />
ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิด<b>โรคต้อกระจก</b>และ<b>โรคศูนย์จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ</b> ช่วยประตุ้นการทำงานของตับให้สร้างเอนไซม์ออกมาใช้ในการต้านมะเร็ง ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่มดลูกและที่เต้านมที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกิน นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และซีลีเนียม ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกาย<br />
<br />
<b><span style="color: #cccccc;">สีขาว</span></b><br />
<br />
กระเทียม, หัวหอม, แอปเปิ้ล, จมูกข้าวสาลี<br />
<br />
มีฤทธิ์ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งและลดการต้านยาในเซลล์มะเร็ง มีคุณสมบัติดูดจับโมเลกุลของโลหะ ลดโคเลสเตอรอล ลดไขมันและปริมาณน้ำตาลในเลือด<br />
<br />
<b><span style="color: #f1c232;">สีเหลือง</span><span style="color: #e69138;">ส้ม</span></b><br />
<br />
แครอท, มะละกอ, ส้ม, สับปะรด, ขมิ้นชัน, มะเขือเทศ, แอพริคอต, เกรปฟรุ๊ต,<br />
<br />
ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ บำรุงรักษาตับ ลดระดับโคเลสเตอรอล ป้องกันสมองเสื่อม ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด <b>ช่วยบำรุงสายตา</b> <b>ทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดี</b> ลดความเสี่ยง ต่อการเป็น<b>โรคต้อกระจก</b> ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี<br />
<br />
<b><span style="color: #990000;">สีแดง</span></b><br />
<br />
มะเขือเทศ, มะละกอ, เชอรี่, สตรอเบอรี่, เมล็ดทับทิม, บิลเบอร์รี่, เบอร์รี่, เอลเดอเบอร์รี่<br />
<br />
ต้านอนุมูลอิสระ ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ผิวหนัง และช่วยลดปริมาณไขมันตัวร้ายในเลือด<br />
<br />
นอกจากผักและผลไม้ที่หลากหลายและครบถ้วนแล้ว การได้รับวิตามินที่จำเป็นสำหรับร่างกายให้เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน ก็จะช่วยให้กระบวนการทำงานของร่างกายเป็นไปโดยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น วิตามินที่ร่างกายควรได้รับได้แก่ <b>วิตามินเอ</b> , บี 1, บี2, บี6, บี12, วิตามินซี, วิตามินดี 3, วิตามินอี, วิตามินเค, ไบโอติน, กรดโฟลิก, ไนอะซิน, และกรดแพนโทธีนิก<br />
<br />
ขอบคุณบทความจาก <a href="http://megawecare.co.th/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B5-Phytonutrients/41" target="_blank">MEGA We care</a><br />
ขอบคุณาพประกอบจาก google<br />
<br />
<b>Reference :</b><br />
<br />
นิตยสาร "หมอชาวบ้าน" (สิงหาคม ๒๕๔๘)<br />
นิตยสาร"สรรสาระ" (ตุลาคม ๒๕๔๕ )<br />
นิตยสาร "HEALTH & CUISINE" (๒๕๔๖)<br />
รายงานสรุปการพัฒนาสมุนไพรไทย ขมิ้นชันด้วยนาโนเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัช กรรม<br />
ศัลยา คงสมบูรณ์เวช กินป้องกันโรค : 135<br />
การสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหาร สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร : www.nso.co.th<br />
D. W.Choi, J. Y. Kim, S. H. Choi, H. S. Jung, H. J. Kim, S. Y. Cho, C. S. Kang and S. Y. Chang, Food Chemistry 2006 ; 96(4):562-571<br />
A. Malik, F. Afaq, S. Sarfaraz, V.M. Adhami, D.N. Syed and H. Mukhtar, The Journal of Urology 2006;175(3):1171<br />
M.Maskan, Journal of Food Engineering 2006;72(3):218-224<br />
L. Simin et al, Fruit and vegetable intake and risk of cardiovascular disease:the Women’s Health Study. Am J Clin Nutr 2000;72:922–8Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-85226013154264741352013-10-04T17:53:00.000+07:002015-04-05T18:59:58.801+07:00กินเพื่อบำรุงสายตาที่ดี Eat for Good Vision<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtALQjJNURxl0P2erzZngI5Ejh-Y21ZvDvUftGx_q3NXl3gvU3UVVUJEh-B0-pCK89FZjHZO-mFwcMywc8xJkAcvPc3RaFYCREk4-Ol741F06jeytVbp5ZscaXVH0O_Qk2aX3bYFwsGhw/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtALQjJNURxl0P2erzZngI5Ejh-Y21ZvDvUftGx_q3NXl3gvU3UVVUJEh-B0-pCK89FZjHZO-mFwcMywc8xJkAcvPc3RaFYCREk4-Ol741F06jeytVbp5ZscaXVH0O_Qk2aX3bYFwsGhw/s320/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%B2.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>กินเพื่อบำรุงสายตาที่ดี </b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>Eat for Good Vision</b></span></div>
<br />
เวลาไปตรวจตา ผู้ป่วยบางคนได้วิตามินบำรุงสายตากลับบ้านไป บางคนไม่ได้ อายุก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ทำไมถึงได้ยาไม่เหมือนกัน แล้วเมื่อไรคุณหมอจะสั่งวิตามินบำรุงสายตา คำถามเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในใจหลายๆ คน มาดูกันว่าใครที่สมควรได้วิตามินบำรุงสายตาบ้าง<br />
<br />
ผลวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าการให้<b>วิตามิน C, E</b> <b>เบต้าแคโรทีน</b>, <b>ธาตุสังกะสี</b>, และ<b>ธาตุทองแดง</b> มีประโยชน์ในการชะลอการเสื่อมมากขึ้นของผู้ป่วยที่เป็น โรคจอประสาทตาเสื่อมตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป (Moderate Age-Related Macular Degeneration)<br />
<br />
ทั้งนี้ในผู้ป่วยที่มี<b>โรคจอประสาทตาเสื่อม</b>เพียงเล็กน้อยอาจไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนักจากการรับประทานวิตามินดังกล่าว จักษุแพทย์จะเป็นผู้ประเมินระดับความเสื่อมของจอประสาทตาจากการขยายม่านตา (Iris)<br />
<br />
ดังนั้นถ้ามาตรวจตาแล้วไม่ได้วิตามินกลับไปรับประทาน นั่นแสดงว่าจอประสาทตา (Retina) ยังมีสุขภาพดีอยู่หรือผิดปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรามีวิธีการบำรุงสายตาโดยการทานอาหารเสริมได้หรือไม่? จากการวิจัยของแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศ พบว่าการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารอาหารดังต่อไปนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้<br />
<br />
<b>1. วิตามิน A</b> – เป็นสารที่<b>ช่วยในการทำงานของจอประสาทตาและมีบทบาทสำคัญในการมองเวลากลางคืน </b>ซึ่งพบมากในผักจำพวก ชะอม คะน้า ยอดกระถิน ตำลึง ผักโขม ฟักทอง<br />
<br />
<b>2. วิตามิน B</b> – มีการศึกษาพบว่าวิตามิน B1 และ B12 อาจมีบทบาทในการชะลอการเกิดต้อกระจกได้ โดยแหล่งที่มีวิตามินชนิดนี้มาก ได้แก่ ตับ ไข่ เนื้อสัตว์ นมสด<br />
<br />
<b>3. วิตามิน C</b> – เป็นที่รู้จักกันดีของการชะลอความแก่ของร่างกายด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) นอกจากนั้นยัง<b>อาจช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก</b>ได้อีกด้วย ผลไม้ที่มีวิตามิน C มาก ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม สับปะรด มะขามป้อม ส่วนผัก ได้แก่ กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่<br />
<br />
<b>4. วิตามิน E</b> – ก็เป็นวิตามินอีกตัวหนึ่งที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีอยู่ในเซลล์รับแสงที่จอประสาทตา และจากการศึกษา<b>พบว่าอาจมีบทบาทช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกเช่นเดียวกัน</b> พบได้ใน น้ำมันธัญพืช น้ำมันดอกคำฝอย ข้าวโพด ถั่วเหลือง<br />
<br />
<b>5. เบต้าแคโรทีน (betacarotene)</b> – เป็นสารตั้งต้นของวิตามิน A ซึ่งมีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระและ<b>ช่วยในการมองเห็นในกลางคืนเช่นเดียวกับวิตามิน A</b> พบมากในผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น แครอท มะละกอ ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง ผักบุ้ง <u>ข้อควรระวังคือการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปอาหารเสริมมากไปในคนที่สูบบุหรี่จะเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอดได้</u><br />
<br />
<b>6. ลูทีน และ ซีแซนทิน (lutein and zeaxanthin)</b> – <b>เป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบในจุดรับภาพที่จอประสาทตาและเลนส์ตา</b> มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่ามีส่วนช่วยในการ<b>ชะลอการเกิดต้อกระจก</b>และ<b>โรคจอประสาทตาเสื่อม</b> พบมากใน ผักโขม ไข่แดง ข้าวโพด บร็อคโคลี่<br />
<br />
<b>7. ซีลีเนียม (selenium)</b> – เป็นสารอีกตัวหนึ่งที่ต้านอนุมูลอิสระและ<b>อาจช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก</b> โดยพบได้ใน หอยนางรม หอยลาย ตับไก่ เมล็ดทานตะวัน<br />
<br />
<b>8. สังกะสี (zinc)</b> – มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่ามีส่วนช่วยในการ<b>ทำให้จอประสาทตาเสื่อมที่เป็นอยู่แล้วเป็นช้าลง</b> โดยแหล่งที่พบสังกะสีได้แก่ หอยนางรม ตับ เนื้อสัตว์<br />
<br />
<b>9. สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba)</b> – นอกจากคุณสมบัติเพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่สมองแล้วยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ <b>เกี่ยวกับสายตาพบว่าอาจช่วยรักษาลานสายตาผิดปกติในต้อหินบางชนิดได้</b><br />
<br />
<b>10. โอเมก้า 3 (omega-3)</b> – เป็นกรดไขมันที่<b>มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะตาแห้ง</b> ซึ่งพบมากในปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ผลไม้ที่พบได้เช่น ผลกีวี่ จะเห็นได้ว่าอาหารที่มีคุณสมบัติบำรุงสายตานั้นมีอยู่รอบๆ ตัวเรา หลายชนิดที่สามารถปลูกเป็นพืชผักสวนครัวได้ ดังนั้นคุณก็สามารถถนอมสายตาและมีสุขภาพดีได้โดยไม่ต้องใช้ยาบำรุงใดๆ เลย<br />
<br />
ขอบพระคุณบทความโดย: พ.ญ.ปรียทรรศน์ ศุขโรจน์<br />
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์<br />
<a href="http://pakponramai.blogspot.com/2013/04/blog-post_2646.html" target="_blank">ผักผลไม้อาหารมีประโยชน์ต่อร่างกาย</a><br />
<br />
<b>ปลาแซลมอน</b> เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตา และยังสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้อีกด้วย<br />
<br />
<b>ผักคะน้า</b> คะน้ามีลูทีน และ ซีแซนทีน ที่ช่วยบำรุงสายตาสูง รับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการเสี่ยงของการเกิด โรคต้อกระจก ได้ถึง 20 % โรคกระจกตาเสื่อม (AMD) มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย<br />
<br />
<b>ผักเคล/กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม</b> เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโลหิตจางได้อีกด้วย<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม webmd<br />
http://www.webmd.com/eye-health/good-eyesight<br />
<br />
Maintaining Good Eye Health<br />
<br />
Don't take your eye health for granted. Protect your eyesight with these six tips:<br />
<br />
1. Eat for Good Vision<br />
<br />
Protecting your eyes starts with the food on your plate. Studies have shown that nutrients such as omega-3 fatty acids, lutein, zinc, and vitamins C and E may help ward off age-related vision problems such as macular degeneration and cataracts. Regularly eating these foods can help lead to good eye health:<br />
<br />
- Green, leafy vegetables such as spinach, kale, and collards<br />
- Salmon, tuna, and other oily fish<br />
- Eggs, nuts, beans, and other non-meat protein sources<br />
- Oranges and other citrus fruits or juices<br />
<br />
Eating a well-balanced diet also helps you maintain a healthy weight, which makes you less likely to get obesity-related diseases such as type 2 diabetes. Diabetes is the leading cause of blindness in adults.<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-65360768330139043172013-10-04T10:10:00.000+07:002015-04-05T19:00:47.788+07:00ประโยชน์ของมะเขือม่วง Health Benefits of Eggplant<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbCHBzpWyjwCUErlduHUbaoia1Qbvjo8lR5gz_YoFs6uLDNGI1LZpvbfnsP_PjSa5XnwxUd7flA2_F61aKanG6QVDAaNqCzngCHec5rmZW2URItPS5n4rIr3rLno5OzgkYqWkY0pyPat0/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87+eggplant.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbCHBzpWyjwCUErlduHUbaoia1Qbvjo8lR5gz_YoFs6uLDNGI1LZpvbfnsP_PjSa5XnwxUd7flA2_F61aKanG6QVDAaNqCzngCHec5rmZW2URItPS5n4rIr3rLno5OzgkYqWkY0pyPat0/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87+eggplant.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">ประโยชน์ของมะเขือม่วง (Eggplant)</span></b></div>
<br />
<b><span style="color: #351c75;">มะเขือม่วง (eggplant)</span></b> อยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE) มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Solanum melongena L. เป็นผัก (vegetable) ส่วนที่ใช้บริโภคคือ ผลที่มีรูปร่างกลมยาว สีม่วงคล้ำ ผิวเปลือกจะเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ตรงขั้วผลก็จะมีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่<br />
<br />
<b>มะเขือม่วง</b> มีสารแอนโธไซยานิน (anthocyanin) ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และดวงตา ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจอัมพาต<br />
<br />
<b>แอนโทไซยานิน (anthocyanin)</b><br />
<br />
<b>แอนโทไซยานิน (anthocyanin)</b> เป็นรงควัตถุที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ให้สีม่วงแดงในผักเพียงไม่กี่ชนิด เช่น กะหล่ำปลีม่วง มะเขือยาวม่วง และบีทรูท สภาพความเป็นกรดด่างมีผลอย่างมากต่อสีของแอนโทไซยานิน ในสภาพความเป็นกรดแอนโทไซยานินจะให้สีแดงสด ในขณะที่สภาพความเป็นด่างจะเป็นเป็นสีน้ำเงิน หรือเขียวน้ำเงิน<br />
<br />
<b>ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) </b><br />
<br />
<b>ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) </b>เป็นกลุ่มสารสีที่ทำให้พืชมีสีที่หลากหลายขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเคมีของสาร เช่น อาจจะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง หรือให้สีอ่อนมาก โดยสามารถศึกษาตัวอย่างโครงสร้างของสารกลุ่มนี้ได้ใน http://buff.ly/19YgF98<br />
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก : สสวท./มูลนิธิหมอชาวบ้าน/greenerald/LASIKLaserVisionThai<br />
ขอบคุณภาพประกอบจาก tasty-dishes<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : Health Food Nutrition<br />
http://buff.ly/19Yehir<br />
<br />
<b>Benefits of Eating Eggplant for Health | Vegetables</b><br />
<br />
Eggplant Benefits for Health | Eggplant purple rich health benefits. The fruit that comes from India which grows wild, starting first cultivated in China. Eggplant is a good source of fiber, source of Vitamin B and minerals such as magnesium and manganese. Color purple eggplant contains a substance called Anthocyanin. Anthocyanins can prevent high blood pressure, hepatosis (disease due to deficiency of vitamin E or selenium), and enhance vision at night.<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.7278956 100.52412349999997 13.7278956 100.52412349999997tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-82925386242969047232013-10-04T09:10:00.002+07:002015-04-05T19:02:26.524+07:00ผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดง ม่วง และสีน้ำเงิน Red Purple , Purple and Blue Fruits and Vegetables<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZUGLrxico1w2g00zLNfxa_Da9TpnwxiWHb-rZUKMvy1akGot07ZDz_ptx1UlwzVasjFzH7T8JUfRX8RmXtaa2MUpKuQqVZs_RTNJK_0CocQiB1yqNv4Lsi-pbgRh4CJuP5r6FR8Hh7ck/s1600/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZUGLrxico1w2g00zLNfxa_Da9TpnwxiWHb-rZUKMvy1akGot07ZDz_ptx1UlwzVasjFzH7T8JUfRX8RmXtaa2MUpKuQqVZs_RTNJK_0CocQiB1yqNv4Lsi-pbgRh4CJuP5r6FR8Hh7ck/s320/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<b><span style="font-size: large;">ผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดง ม่วง และสีน้ำเงิน </span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">Red Purple , Purple and Blue Fruits and Vegetables</span></b></div>
<br />
<b><span style="color: #741b47;">สีม่วงแดง</span></b> ในผักผลไม้กลุ่มสีนี้มี<b>สารแอนโทไซยานิน</b> ช่วยปกป้องผักผลไม้จากการทำลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต เลยทำให้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด ช่วยชะลอการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว<br />
<br />
<b>ผักผลไม้<span style="color: #0b5394;">สีน้ำเงิน</span> <span style="color: #351c75;">ม่วง</span></b> <b>มีสารแอนโธไซยานิน (anthocyanin)</b> ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และดวงตา ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง หอมแดง ดอกอัญชัน เผือก มะเขือม่วง ข้าวเหนียวดำ ข้าวแดง มันสีม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว องุ่นม่วง ลูกพรุน ถั่วดำ/แดง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น องุ่นแดง บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ฯลฯ<br />
<br />
<b>ผักผลไม้ที่มี<span style="color: #351c75;">สีม่วง</span>และ<span style="color: #0b5394;">สีน้ำเงิน</span></b><br />
<br />
<b>ผักผลไม้ในกลุ่มนี้จะมีสารสำคัญที่ชื่อว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ละลายน้ำได้</b> เป็นสารให้สีตามธรรมชาติที่<b>จัดอยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์</b> สีของแอนโทไซยานินจะเปลี่ยนไปตามสภาวะความเป็นกรด-ด่าง เป็นสารที่ให้สีตั้งแต่สีน้ำเงินเข้มหรืออาจไม่มีสีเลยเมื่อในอยู่สภาวะด่าง (pH>7) จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเมื่ออยู่ในสภาวะที่เป็นกลาง (pH=7) และจะเปลี่ยนเป็นสีแดงถึงแดงเข้มได้ในสภาวะเป็นกรด (pH<7) สารในกลุ่มแอนโทไซยานิน ที่อยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่มีอยู่ 6 ชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ เพลาโกนิดิน (pelargonidin), ไซยานิดิน (cyanidin), เดลฟินิดิน (delphinidin), พีโอนิดิน (peonidin), เพทูนิดิน (petunidin) และ มาลวิดิน (malvidin)<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของแอนโทไซยานิน</b><br />
<br />
<b>- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ</b> มีการวิจัยพบว่าแอนโทไซยานินมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึง 2 เท่า<br />
<b>- ลดอาการอักเสบ</b><br />
<b>- ช่วยปกป้องหลอดเลือด</b> กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดได้<br />
<b>- ลดคอเลสเตอรอลในเลือด</b><br />
<b>- ป้องกันมะเร็งหลายชนิด</b> เช่น มะเร็งลำไส้และตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งของระบบสืบพันธุ์<br />
<b>- ยับยั้งเชื้ออีโคไล</b>ในทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดท้องเสีย<br />
<b>- ต้านไวรัสได้</b><br />
<br />
<b>ผักผลไม้ที่มี<span style="color: #0b5394;">สีน้ำเงิน</span> <span style="color: #351c75;">สีม่วง</span> และ<span style="color: #990000;">สีแดง</span></b> <b>ที่มีแอนโทไซยานินสูง</b> ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง มันสีม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ลูกหว้า ข้าวแดง ข้าวนิล ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง ถั่วดำ หอมแดง ดอกอัญชัน น้ำว่าน-กาบหอย เผือก หอมหัวใหญ่สีม่วง มะเขือม่วง พริกแดง องุ่นแดง-ม่วง แอปเปิ้ลแดง ลูกไหน ลูกพรุน ลูกเกด บลูเบอรี่ เชอรี่ แบล็กเบอรี่ ราสเบอรี่ สตรอเบอรี่ ฯลฯ<br />
<br />
ที่มา : สารเคมีที่มีประโยชน์จากผักผลไม้ที่มีสีม่วงและสีน้ำเงิน<br />
ภญ.ดร.นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์<br />
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล<br />
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=152<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
<br />
Pascual-TeresaMaria S, Sanchez-Ballesta T. Anthocyanins: from plant to health. Phytochemistry Reviews. 2008; 7 (2): 281-299.<br />
แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มิถุนายน 2553<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม :St. Mary's Health System<br />
http://www.stmarysmaineblog.com/tag/fruits<br />
<br />
<b><span style="color: #0b5394;">Blue</span>/<span style="color: #351c75;">purple</span></b><br />
<br />
Blues and purples not only add beautiful shades of tranquility and richness to your plate, they add health enhancing flavonoids, phytochemicals, and antioxidants, such as anthocyanins, vitamin C, folic acid, and polyphenols. These nutrients help your body defend against cancer, reduce the risk of age-related memory loss, help control high blood pressure, and reduce the risk of diabetes complications and heart attacks.Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998tag:blogger.com,1999:blog-1681070452996897914.post-10556790721673690782013-10-03T10:59:00.000+07:002015-04-05T19:01:48.894+07:00หัวบีทรูทสีแดง เป็นหนึ่งในผักผลไม้ที่มีสีแดง Red beet root . Is one of the fruits and vegetables that are red<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikf0klbGk_5aZmcjSE7_Mgr8eFsPZWaX5OyAzH4BLcmPcqy0CqozN3vXyfhA0G-4p13o0gVBD2yYYtwkFhkkbWgWHIE866BM5PvyJPAlg7Vf7dgwHqNLrJXWDLUxfAKsxY-GTEHnJ526g/s1600/%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikf0klbGk_5aZmcjSE7_Mgr8eFsPZWaX5OyAzH4BLcmPcqy0CqozN3vXyfhA0G-4p13o0gVBD2yYYtwkFhkkbWgWHIE866BM5PvyJPAlg7Vf7dgwHqNLrJXWDLUxfAKsxY-GTEHnJ526g/s320/%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97.jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">หัวบีทรูทสีแดง เป็นหนึ่งในผักผลไม้ที่มีสีแดง</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;"><b>Red beet </b>root . Is one of the fruits and vegetables that are red</span></div>
<br />
<b>บีทรูท (Beetroot)</b><br />
<br />
<b>บีทรูท หรือ บีตรูต อ่านว่า บีท-รูท </b>อย่าอ่านว่า บี-ทรูท <b>(Beetroot, Garden Beet, Common Beet)</b> หรือ ผักกาดฝรั่ง ผักกาดแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Beta Vulgaris (L.) เป็นผักเพื่อสุขภาพประจำเมืองหนาวที่ปลูกกันมากทางภาคเหนือของบ้านเรา โดยมีต้นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน แถบยุโรป โดยมีรากหรือหัวพืชที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีลักษณะทรงกลมป้อม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร เนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู ม่วงแดง และเหลือง<br />
<br />
<b>หัวบีทรูท</b> <b>(Beetroot)</b> เต็มไปด้วย<b>วิตามินเอ</b> <b>ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน</b> วิตามินบีรวม ตลอดจนมี<b>สารสีแดงในหัวที่มีชื่อว่า เบทานิน (Betanin)</b> ซึ่งเป็น กรดอะมิโน เป็นตัวช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดการเติบโตของเนื้องอกได้ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ถึง400% จึงช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง และยังทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น<br />
<br />
สำหรับคนทำงานที่ต้องใช้สายตามากๆ แนะนำให้ทาน แครอท <b>บีทรูท</b> หรือผักโขม จะช่วยบำรุงสายตาได้มาก เช่น ผักโขมให้พลังงานต่ำแต่มีวิตามินสูง ผักโขม 1 ถ้วย มีวิตามินเคและวิตามินเอสูงกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน มีแมงกานีสและโฟเลตเกือบเท่ากับปริมาณที่ร่างกายต้องการและมีแมกนีเซียมประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายต้องการต่อวัน<br />
<br />
ขอบคุณภาพประกอบจาก trueplookpanya<br />
<br />
<b>TIPS </b><br />
<b><br /></b>
<a href="http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/mobile/TH/knowledge.php?id=150" target="_blank">สารเคมีที่มีประโยชน์จากผักผลไม้ที่มีสีแดง</a><br />
<span style="background-color: white; color: #333333; text-align: right;">ภญ.ดร.นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์ </span><br />
<span style="background-color: white; color: #333333; text-align: right;">ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</span><b><br /></b>
<b>ประโยชน์ของไลโคพีนใน<span style="color: #cc0000;">ผักผลไม้สีแดง</span> </b><br />
<br />
<b>ไลโคพีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี</b> ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ผิวหนังและ<b>ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก</b><br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิงจาก : <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%95" target="_blank">บีทรูท</a><br />
จากวิกิพีเดีย<br />
<br />
<b>บีทรูท</b> หรือชื่ออื่นเช่น ผักกาดฝรั่ง ผักกาดแดง เป็นหัวพืชหรือรากที่สะสมอาหารที่อยู่ใต้ดิน เป็นพืชเมืองหนาวและเป็นผักเพื่อสุขภาพ มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด<br />
<br />
<b>คุณค่าทางโภชนาการของบีทรูท</b><br />
<br />
ในรากของบีทรูท มีวิตามินเอ วิตามินบีรวม ซึ่งอุดมไปด้วยโฟเลตเป็นสารประกอบจากกรดโฟลิก เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 มีโพแทสเซียม และวิตามินซีสูง ในยอดใบที่มีสีเขียวเข้ม มีสารบีตา-แคโรทีน ซึ่งมีแคลเซียม เหล็ก และโพแทสเซียมกับวิตามินเอสูง<br />
<br />
ในบีทรูทสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย โซเดียม 241 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม เส้นใย 2.9 กรัม น้ำตาล 0.6 กรัม โปรตีน 2.6 กรัม และโพแทสเซียม 909 มิลลิกรัม [4]<br />
<br />
<b>ในหัวบีทรูท มีสารสีแดง</b> เรียกว่า <b>เบทานิน (betanin)</b> เป็นพวกกรดอะมิโน ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้เลือดลมและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น<br />
<br />
<b>และสารสีม่วง</b> เรียกว่า <b>แอนโทไซยานิน (anthocyanin)</b> ในสภาพเป็นกลาง มีสีม่วง pH 7-8 สภาพเป็นเบส มีสีแดง pH > 11 และสภาพเป็นกรด มีสีน้ำเงิน pH < 3 ซึ่งแอนโทไซยานิน เป็นรงควัตถุที่ให้สีแดง ม่วง และน้ำเงิน มีสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต<br />
<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : Health benefits of Fruits<br />
http://buff.ly/16HvUYW<br />
<br />
<b>Health benefits of beetroot</b><br />
<br />
<b>Prevents or even delays the formation of cataracts</b><br />
<br />
Because of their higher vitamin A content, beets can easily sluggish or even totally avoid the development of cataracts, eye diseases that may impact a person’s vision as time passes. Your teeth, skin, and also mucus membranes will even significantly take advantage of a normal consumption of naturally-sourced vitamin A, as present in beets.<br />
<br />
<b>Macular degeneration</b><br />
<br />
Macular degeneration is definitely a difficult medical problem through which one’s vision can become blurry, and eventually impaired, because of the deterioration of particular eye cells. Due to their previously mentioned beta-carotene content, however, beets might help avoid this eye condition.Unknownnoreply@blogger.comกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย13.7278956 100.5241234999999713.2342916 99.878676499999969 14.2214996 101.16957049999998