แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ซีแซนทีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ซีแซนทีน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของผักโขม Benefits of Spinach

ประโยชน์ของผักโขม Benefits of Spinach

“ผักโขม” (Spinach) ผักบ้านมากประโยชน์

ผักโขม” หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Spinach เป็นผักพื้นบ้านที่พบอยู่ทั่วไปคล้ายวัชพืช เพราะสามารถขึ้นได้เองในสภาพดินแทบทุกชนิด และเจริญงอกงามได้ในทุกสภาพอากาศ แม้แต่อากาศแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังเจริญเติบโตได้รวดเร็วและทนทาน ผักโขม (Spinach) จึงเป็นผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านรับประทานกันมานาน ส่วนวิธีในการรับประทานเรามักจะไม่ทานกันดิบ ๆ เนื่องจากมีรสขม ส่วนใหญ่จึงมักนำมาต้มก่อน หากแต่ในปัจจุบัน ผักโขม (Spinach) ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเมนูอาหารที่น่ารับประทานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้มจืด แกงเลียง ผัดผักโขมไฟแดง สลัด หรือเมนูฝรั่งที่เป็นที่นิยมรับประทานกันมากอย่างผักโขมอบชีส และสารพัดเมนูแล้วแต่จะนำมาปรุงแต่งให้มีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น

เนื่องจากผักโขม (Spinach) มีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงรักษาสายตา ลดอาการตาบอดกลางคืน (Night Blindness) บำรุงกระดูกและฟัน ลูทีน ซีแซนทีน และ แคโรทีนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงของต้อกระจก (Cataract) กรดโฟเลต แบต้าแคโรทีน วิตามินซีช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายให้ปลอดภัยจากโรค ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ผักโขมยังมีธาตุเหล็กสูง และช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี โปรตีน และไฟเบอร์

หากแต่ในผักโขมก็มีกรดออกเซลิคแอซิดสูงเช่นกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซับธาตุเหล็กที่มีอยู่มากได้ จึงต้องทำให้สุกเพื่อให้กรดนี้บรรเทาเบาบางลงก่อน จากสารอาหารที่มีมากมายในผักโขมจึงทำให้การทานผักโขมมีประโยชน์ต่อร่างกายมากตามไปด้วย เช่น ไฟเบอร์ หรือ กากใย ที่ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดี ธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างสติปัญญา ทำให้สมองตื่นตัวตลอดเวลาแม้ในผู้สูงวัย สารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด และช่วยชะลอโรคความชราได้อีกด้วย

นอกจากนี้ผลการวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ยังพบว่าสารประกอบในผักโขม (Spinach) มีฤทธิ์ชะลอการย่อยสลายไขมัน เนื่องจากสารประกอบในผักชนิดนี้ อาจเข้าไปเคลือบไขมันขณะอยู่ในลำไส้ และชะลอการย่อยสลายไขมันของเอนไซม์ให้ช้าลง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนานขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดปัญหาการกินจุเกินไปสำหรับคนที่ทานมาก ซึ่งสำหรับผู้หญิงที่กำลังลดความอ้วนอยู่ เมนูผักโขม (Spinach) ก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากให้คุณประโยชน์มากมายแล้วยังช่วยลดความอ้วน และชะลอความแก่ก่อนวัยอีกด้วย อย่างนี้ต้องลองทานบ่อยๆ แล้วน่ะค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง :
Food for Health Guide
http://foodforhealthguide.blogspot.com/2011/03/amaranth-very-useful-vegetable-for.html

ข้อมูลอ้างอิง :
HealthMad : Spinach: Health Benefits and Nutritional Value
http://healthmad.com/nutrition/spinach-health-benefits-and-nutritional-value/

Eyesight : The spinach is particularly rich in Vitamin A. It contains more Vitamin A than most other green vegetables. Vitamin A promotes growth and health especially the health of the eyes. Lack of Vitamin A may lead to night blindness. Also, Zeaxanthin and Lutein – two carotenoids, found in spinach are great to decrease the risk of cataract.

ข้อมูลอ้างอิง :
Health Benefits of Spinach
http://www.vegrecipes4u.com/health-benefits-of-spinach.html

Spinach is also rich in lutein which helps protect against eye ailments such as macular degeneration and
cataracts, the leading causes of blindness in old age. (Lutein and zeaxanthine also give spinach and other
greens their green color.)

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผักผลไม้ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม Nutrition & AMD

ผักผลไม้ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม Nutrition & AMD

"ดวงตา" จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างมาก ปัจจัยที่กระตุ้นให้จอประสาทตาเสื่อม (Age related macular degeneration : AMD) เร็วขึ้นคือ อายุ สิ่งแวดล้อม อาหารการกินและโรคบางชนิดที่เช่นเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี

มลภาวะรอบๆตัวเรา

แสงอัลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระที่ทำลายตาของเรา เป็นสาเหตุของต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม (macula degeneration) ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของตาบอดในผู้สูงอายุในวัย 65 ปีขึ้นไป นอกจากแสงแดดแล้ว บุหรี่ และอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ (สารต้านอนุมูลอิสระ)ต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ปัจจัยดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการใช้แว่นตากันแสงยูวี หรือสวมหมวกป้องกันแสงแดดไม่ให้ทำลายดวงตา เลิกบุหรี่ หรือเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีผู้สูบบุหรี่ และบริโภคอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูงๆ

อาหารชะลอตาเสื่อม

อาหารประเภทผักและผลไม้มีสารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพของดวงตาและลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายเลนส์ตาคือ สารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และสารไบโอเฟลโวนอยด์) รวมทั้งไรโบเฟลวิน

- วิตามินอี ช่วยป้องกันปฏิกริยาการสลายตัวของกรดไขมันที่อยู่รอบ ๆ เลนส์ตา คนที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูงอาจลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกถึง50%

- อาหารที่มีวิตามินซีสูงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกได้ วิตามินซีจะช่วยขจัดโปรตีนส่วนที่ถูกทำลายจากเลนส์ของดวงตา ป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจก คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำกว่าปกติ นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยการทำงานของวิตามินอี และแคโรทีนอยด์ด้วย ดังนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานวิตามินซีให้ได้ 300 มิลลิกรัมขึ้นไป ซึ่งวิตามินซีในปริมาณนี้หารับประทานจากอาหารประจำวันได้ไม่ยาก

- แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ประกอบไปด้วยเบต้าแคโรทีน ลูทีน (lutein) และซีแซนทิน (zeaxanthin) ไลโคพีน ทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันเลนส์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระเช่นกัน

- เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด เบตาแคโรทีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตา และป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น โรคต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกในส่วนต่างๆของร่างกายชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย

- ลูทีน และซีแซนทิน เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักบุ้ง ผักกาดเขียว ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม ลูทีนและซีแซนทินเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดดและกรองแสงสีน้ำเงินที่เป็นตัวการสำคัญในการทำลายดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นที่จะต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร แต่สารซีแซนทินนอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายหลายสีมากเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

 อย่างไรก็ตามการวิจัยยังพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระประเภทวิตามินซี อี และแคโรทีนอยด์ ในอาหารธรรมชาติให้ผลที่ดีกว่าการใช้วิตามินทั้ง 3 เสริม ดังนั้นนักวิจัยจึงแนะให้บริโภคผักและผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อรีบสะสมสารต้านอนุมูลอิสระเสียแต่เนิ่น ๆ จะป้องกันอันตรายจากโรคตาเสื่อมตามวัยได้

- ไบโอเฟลโวนอยด์ พบมากในบูลเบอร์รีหรือบิลเบอร์รี องุ่นแดง ส้ม และแครนเบอร์รี ไบโอเฟลโวนอยด์ ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระคือสารแอนโธไซยานิดิน ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระทำอันตรายให้กับเลนส์ตาและสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างบริเวณกระจกตา (Cornea) และเส้นเลือดฝอยในตา ปัจจุบันสารสกัดบิลเบอร์รีได้รับความนิยมมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้วยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัวๆ ได้ชันเจน บิลเบอร์รีหรือบลูเบอร์รีสดวันละ 1/2 - 1 ถ้วยตวง ให้สารแอนโธไซยานิดินเท่ากับที่ร่างกายต้องการในการรักษาสุขภาพตา

- ไรโบเฟลวิน เป็นวิตามินบีตัวหนึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันก็ต้องระวังการเสริมไรโบเฟลวินมากเกินกำหนดแทนที่จะช่วยกลับจะเป็นอันตรายต่อตาได้ เพราะจะเพิ่มความไวของดวงตาต่อการถูกทำลายด้วยแสงแดดได้

- แร่ธาตุสังกะสี อาหารที่มีธาตุสังกะสีสูง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ อาจมีผลในการป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตาได้เช่นกัน

- ระวังอาหารรสเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูงโซเดียมเป็นส่วนประกอบของเกลือแกง อาหารที่มีโซเดียมสูงนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงความดันโลหิตสูงแล้วยังอาจมีส่วนทำให้เกิดต้อกระจกได้ ระดับโซเดียมที่ต่ำในลูกตาจะป้องกันเลนส์ตาขุ่นฝ้า การรับประทานอาหารเค็มจัดจะทำให้ได้รับโซเดียมมากเกินควรจึงทำให้เกิดปัญหาการรักษาระดับโซเดียมในตา

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้นเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคผักและผลไม้อย่างหลากหลายเป็นประจำทุกวันนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมได้แน่นอนกว่าการเสริมวิตามินแล้วยังช่วยในการรักษาสุขภาพกายด้านอื่นๆ ป้องกันโรคเรื้อรังไม่ติดต่อมากมาย

ข้อมูลอ้างอิง :
Nutrition Therapy นิตยสาร Health & Cuisine


ข้อมูลอ้างอิง :
โรคจอประสาทตาเสื่อม ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
http://www.rcopt.org/news-public-87.html


ข้อมูลอ้างอิง :
Nutrition & AMD - American Macular Degeneration Foundation
http://www.macular.org/nutrition/index.html

Consumption of fruits and vegetables containing two carotenoid pigments may be linked to a reduced risk for age-related macular degeneration, the leading cause of vision loss in people over the age of 55. According to research, lutein and zeaxanthin comprise a component of the central region of the retina and may play a role in some aspects of visual acuity. Increasing the concentration of these pigments in the eye may prevent the devastating vision loss caused by age-related macular degeneration.

Carotenoids are phytochemicals (chemicals found in plants) commonly found in certain fruits and vegetables that provide the red, orange and yellow colors of these foods. Lutein and zeaxanthin are found primarly in broccoli, corn, squash and dark green leafy vegetables like spinach and kale.

Lutein and zeaxanthin are concentrated in the fovea, the central region of the retina, in a spot known as the macula lutea, or yellow spot. The macula helps produce the sharp central vision needed for activities like reading, sewing and driving.

According to an article in The British Journal of Ophthalmology(2.) eating green leafy vegetables, which are rich in lutein and zeaxanthin, may decrease the risk for age-related macular degeneration. The goal of this study was to analyze various fruits and vegetables to establish which ones contain lutein and/or zeaxanthin and can serve as possible dietary supplements for these carotenoids.

Egg yolk and yellow corn contain the highest mole percentage (% of total) of lutein and zeaxanthin (more than 85% of the total carotenoids). Yellow corn was the vegetable with the highest quantity of lutein (60% of total) and orange pepper was the vegetable with the highest amount of zeaxanthin (37% of total). Substantial amounts of lutein and zeaxanthin (30-50%) were also present in kiwi fruit, grapes, spinach, orange juice, zucchini, and different kinds of squash. The results show that there are fruits and vegetables of various colors with a relatively high content of lutein and zeaxanthin.

Most of the dark green leafy vegetables, previously recommended for a higher intake of lutein and zeaxanthin, have a 15-47% of lutein, but a very low content (0-3%) of zeaxanthin. This study shows that fruits and vegetables of various colors can be consumed to increase dietary intake of lutein and zeaxanthin.

ข้อแนะนำ

ในแต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆกันทุกวัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและมีสุขภาพที่ดี

บทความที่ได้รับความนิยม